วลัยลักษณ์ ทรงศิริ

เอกสารประกอบงานเสวนาเรื่อง “สำรวจลมหายใจและการท่องเที่ยวบ้านบาตร” วันอาทิตย์ที่ ๑๓ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๙  ณ ลานบ้านชุมชนป้อมมหากาฬ

นอกฝั่งพระนครด้านตะวันออกที่อยู่เหนือคลองมหานาค ซึ่งขุดตั้งแต่สมัยต้นรัชกาลพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก เพื่อเป็นเส้นทางเดินทัพหรือเดินทางมุ่งไปทางภูมิภาคตะวันออก โดยเฉพาะกรุงกัมพูชาที่มีสงครามติดพันกันอยู่ตั้งแต่ยุคกรุงธนบุรี บริเวณนี้มีวัดเก่าแก่ก่อนสร้างพระนครคือวัดสะแกหรือวัดสระเกศฯในเวลาต่อมา พระราชวิจารณ์ในพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว เรื่อง “จดหมายเหตุความทรงจำของกรมหลวงนรินทรเทวี” ข้อ ๑๑ ว่า

“ปฏิสังขรณ์วัดสะแกและเปลี่ยนชื่อเป็นวัดสระเกศฯ เอามากล่าวปนกับวัดโพธิ์เพราะเป็นต้นทางที่เสด็จเข้ามาพระนครมีคำ เล่าๆ กันว่า เสด็จเข้าโขลนทวารสรงพระมุธาภิเษกตามประเพณีกลับจากทางไกลที่ วัดสะแก จึงเปลี่ยนนามว่าวัดสระเกศฯ”

วัดสระเกศฯ บูรณะปฏิสังขรณ์และสร้างศาสนสถานขึ้นใหม่เป็นครั้งใหญ่ในครั้งรัชกาลพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว ควบคู่กับการบูรณะและสร้างวัดอรุณราชวรารามทางฝั่งธนบุรี โปรดเกล้าฯ ให้สร้าง “ภูเขาทอง” ให้คล้ายกับเจดีย์ภูเขาทองในทุ่งของพระนครศรีอยุธยา เป็นพระมหาธาตุของเมืองด้านทิศตะวันออกและใช้เป็นที่ประชุมเล่นสักวาให้สมเด็จเจ้าพระยาบรมมหาพิชัยญาติ (ทัต บุนนาค) เป็นแม่กอง อีกทั้งใช้เป็นที่พระราชทานเพลิงพระศพเจ้านาย ข้าราชการชั้นผู้ใหญ่ต่างๆ ทางฝั่งพระนคร ส่วนวัดอรุณราชวราราม โปรดเกล้าฯ ให้สร้างพระเจดีย์ขนาดใหญ่เป็นพระมหาธาตุของเมืองทางฝั่งตะวันตกและด้านแม่น้ำเจ้าพระยาที่คล้ายเป็นประตูเมืองของพระนครอีกด้านหนึ่ง

1

 บริเวณบ้านบาตร ในย่านวัดสระเกศฯ

พระนครด้านตะวันออก ประตูผีและเมรุปูน วัดสระเกศฯ

เป็นธรรมเนียมของเมืองแบบโบราณทั่วไปในภูมิภาคนี้ที่จะไม่ยินยอมให้มีการฌาปนกิจผู้เสียชีวิตภายในกำแพงเมือง เหตุผลน่าจะสืบเนื่องมาจากการดูแลรักษาสุขอนามัยของประชากรจำนวนมากที่อยู่ร่วมกันประการหนึ่ง และอีกประการหนึ่งคือเรื่องความเชื่อในการแบ่งแยกพื้นที่ระหว่างคนเป็นและคนตาย การเผาหรือฝังผู้คนที่สิ้นชีวิตไปแล้วหากไม่ใช่พระมหากษัตริย์หรือพระบรมวงศ์ชั้นสูงที่สร้างพระเมรุชั่วคราวภายในเมือง ก็ต้องนำออกนอกเมืองเพื่อจัดการปลงศพตามความเชื่อในศาสนาต่างๆ

ข้อห้ามดังกล่าวสร้างกฎเกณฑ์และความหลากหลายทางความเชื่อในเรื่องทิศทางที่จัดเป็นทิศสำหรับพิธีกรรมแบบมงคลและอวมงคล การกำหนดพื้นที่สำหรับการปลงศพทั้งฝังหรือเผาที่เรียกว่าป่าช้าที่อยู่นอกเมืองหรือห่างเมือง ซึ่งมีการกำหนดรูปแบบแตกต่างกันไปในระดับ เมือง, หมู่บ้าน หรือกลุ่มบ้าน

สำหรับกรุงเทพมหานคร เมื่อแรกสร้างพระนครนั้นมีคูเมืองชั้นในสุดอยู่แล้ว ซึ่งขุดขึ้นตั้งแต่ในสมัยกรุงธนบุรี จึงขุดคูเมืองก่อกำแพงเมืองชั้นแรกในสมัยพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกฯ ที่เรียกกันทั่วไปว่าคลองโอ่งอ่าง-บางลำพูในคราวแรกตั้งกรุงรัตนโกสินทร์ เมื่อ พ.ศ. ๒๓๒๖ จากบางลำพูทางทิศเหนือไปออกแม่น้ำเจ้าพระยาทางทิศใต้บริเวณใกล้วัดสามปลื้ม รวมระยะทางราว ๓.๖ กิโลเมตร บันทึกไว้ว่า มีประตูใหญ่ ๑๖ ประตู ประตูช่องกุด ๔๗ แห่ง และมีป้อมทั้งสิ้น ๑๔ ป้อม

ประตูที่นำศพออกนอกเมืองของเมืองต่างๆ ส่วนใหญ่เรียกันว่า “ประตูผี” และกำหนดเป็นที่รับรู้กันภายในเมือง “ประตูผี” สำหรับกรุงเทพมหานครอยู่ทางฝั่งทิศตะวันออก เป็นประตูช่องกุดซึ่งใช้สำหรับผ่านเข้าออกนอกและในเมือง ส่วนป่าช้าที่ปลงศพทั้งเผาและฝัง รวมไปถึงการปล่อยให้แร้งจิกกินในช่วงที่มีโรคระบาดอยู่บริเวณใกล้วัดสระเกศนอกเมือง

แต่การนำศพออกไปปลงศพนอกเมือง นอกจากประตูผีแล้ว หากชาวบ้านชาวเมืองอยู่ทางทิศใดของเมืองก็นำออกนอกประตูเมืองทางทิศต่างๆ ได้ วัดเก่าที่มีป่าช้าอยู่นอกเมืองครั้งแรกสร้างเมื่อรัชกาลที่ ๑ นั้นมีหลายแห่ง เช่น วัดบางลำพู หรือวัดสังเวชวิศยารามทางด้านเหนือ และวัดเชิงเลนหรือวัดบพิตรพิมุขทางด้านใต้ วัดปทุมคงคาหรือวพสำเพ็งในชุมชนชาวจีนริมแม่น้ำเจ้าพระยา และวัดสระเกศฯทางด้านตะวันออก ต่อมาเมื่อขุดคลองผดุงกรุงเกษม เพื่อเป็นคูคลองเมืองชั้นนอกสุดในครั้งรัชกาลพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวแล้ว การปลงศพของคนกรุงเทพฯ ก็ยังถือเอาเขตนอกเมืองคูคลองเมืองแต่แรกเริ่มเท่านั้น ไม่ได้ขยายมาถึงคลองรอบเมืองชั้นนอกสุดแต่อย่างใด จึงไม่แปลกที่เราพบว่ามีเมรุเผาศพในเขตพระนครชั้นนอกอยู่ทั่วไปรวมทั้งการฝังศพที่กูโบร์ของชาวมุสลิมที่บริเวณมัสยิดของชุมชนมหานาคด้วย

2
2

ภาพบน ภาพถ่ายทางอากาศบริเวณภูเขาทอง วัดสระเกศฯ
ภาพล่าง ภาพเมรุปูนวัดสระเกศฯ ที่มา : “วัดสระเกศฯ 438,” ภ.002.2/4, จดหมายเหตุแห่งชาติ

กล่าวกันว่าครั้งรัชกาลพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว มีการส่งทัพไปรบทางกรุงกัมพูชาและเวียดนามตลอดหลายปี และต้องใช้พื้นที่ทางฝั่งตะวันออกของพระนครเป็นการเริ่มต้นเดินทัพ จึงทรงปฏิสังขรณ์วัดสระเกศฯและวัดอรุณราชวราราม ที่วัดสระเกศฯทรงโปรดเกล้าฯ ให้ปลูกกุฎีตึก สร้างภูเขาทองให้คล้ายกับเจดีย์ภูเขาทองในทุ่งของพระนครศรีอยุธยาและใช้เป็นที่ประชุมเล่นสักวา โดยโปรดเกล้าฯ ให้สมเด็จเจ้าพระยาบรมมหาพิชัยญาติ (ทัต บุนนาค) เป็นแม่กอง อีกทั้งใช้เป็นที่พระราชทานเพลิงพระศพเจ้านาย ข้าราชการชั้นผู้ใหญ่ต่างๆ และให้มีพลับพลาสำหรับเสด็จมาพระราชทานเพลิงศพ สามส้าง โรงธรรม โรงครัว โรงทาน โรงมหรสพ ตลอดจนพุ่มกัลปพฤกษ์ และระทา (หอสี่เหลี่ยมทรงยอดเกี้ยว ใช้สำหรับจุดดอกไม้ไฟ พลุ ตะไล ในพิธี) สำหรับพระบรมวงศานุวงศ์และขุนนางผู้ใหญ่ และเมรุธรรมดาสำหรับบุคคลชั้นคหบดีทั่วไป ซึ่งสิ่งก่อสร้างเหล่านี้ล้วนทำด้วยการก่ออิฐถือปูนทั้งสิ้น โดยให้มีการก่อสร้างอย่างปราณีตสมบูรณ์ยิ่งกว่าเมรุปูนของวัดสุวรรณารามทางฝั่งธนบุรีที่เคยเป็นสถานที่ปลงศพสำหรับพระบรมวงศานุวงศ์และขุนนางชั้นผู้ใหญ่มาตั้งแต่ครั้งรัชกาลที่ ๑ เรียกกันว่า “เมรุผ้าขาว” เจ้าพระยาบดินทร์เดชาแม่ทัพคนสำคัญของพระองค์ถึงแก่กรรมด้วยโรคอหิวาตกโรคใน พ.ศ. ๒๓๙๓ ก็ปลงศพที่เมรุผ้าขาว วัดสระเกศฯ

ในปีนั้นและปีต่อๆ มาแทบทุกรัชกาลคนในพระนครตายด้วยโรคอหิวาตกโรคจำนวนมากและนำไปปลงศพที่วัดสระเกศฯและวัดนอกเมืองอื่นๆ จนบางครั้งเผาไม่ทันกลายเป็นต้องทิ้งให้แร้งลงจิกกินซากศพ กลายเป็นสถานที่ซึ่งชาวไทยและต่างประเทศอ้างอิงถึงคำว่า “แร้งวัดสระเกศฯ” ด้วยภาพอันน่าสยดสยองเมื่อมีซากศพและแร้งลงมาจิกกิน ผู้คนหวาดเกรงและปรากฏในภาพที่ชาวตะวันตกถ่ายรูปไว้รวมทั้งบันทึกไว้มากมายที่บริเวณป่าช้าและเมรุในบริเวณนี้สืบเนื่องกันตลอดมา

เส้นทางการนำศพออกนอกเมืองจึงถูกเรียกติดปากว่า “ประตูผี” ซึ่งไม่ใช่ประตูเมืองใหญ่ทางฝั่งตะวันออกของพระนครที่อยู่ใกล้เคียงคือประตูสามยอดที่เป็นประตูใหญ่ใกล้ป้อมหมูทะลวง มีการนำศพผ่านทั้งทางบกและทางท่าเรือวัดสระเกศฯแล้วนำขึ้นถนนมายังเมรุดังกล่าวที่ก่อสร้างด้วยอิฐถือปูนอย่างถาวรและเรียกกันติดปากว่า “เมรุปูน” ต่อมาเมื่อสร้างถนนบำรุงเมืองในสมัยรัชกาลพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ให้เป็นถนนแบบสมัยใหม่ที่ใช้ในเชิงเศรษฐกิจเพราะมีการปลูกตึกแถวให้เช่าเพื่อทำการค้าด้วย การตัดผ่านของถนนเส้นนี้ ทำให้เขตพุทธาวาสและสังฆาวาสของวัดสระเกศฯกับบริเวณเมรุปูน แยกออกจากกันคนละฝั่งถนน และสภาพเมรุปูนของวัดสระเกศฯชำรุดทรุดโทรมไม่ได้มีการบำรุงรักษามากนัก

3

เมรุปูนวัดสระเกศฯ สภาพทรุดโทรมในช่วงรัชกาลที่ ๔

ในครั้งรัชกาลพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว มีกฎหมายเมื่อราว พ.ศ. ๒๔๑๘ ห้ามไม่ให้คนกรุงเทพฯ ทิ้งซากสัตว์บนถนน ข้างบ้าน และข้างกำแพงเมือง ในยุคที่กรุงเทพมหานครกำลังปรับตัวเข้าสู่ยุคสมัยใหม่และมีการสาธารณสุขแบบตะวันตก ซึ่งเป็นนโยบายที่ต่อเนื่องมาตั้งแต่ครั้งรัชกาลที่ ๔ การกำจัดโรคโดยเฉพาะอหิวาตกโรคที่แพร่ระบาดอยู่บ่อยครั้งเป็นสิ่งจำเป็นต้องทำ

ในรัชกาลนี้เองที่ให้สร้างเมรุหลวงอิศริยยศ ณ วัดเทพศิรินทราวาส มีพระราชประสงค์จะให้ปลงศพได้ทุกชั้นบรรดาศักดิ์ จึงเปลี่ยนเมรุหลวงจากวัดสระเกศฯมาเป็นวัดเทพศิรินทร์ฯ อย่างเป็นทางการจนถึงปัจจุบัน
สมัยรัชกาลที่ ๕ ทรงมีพระราชประสงค์รื้อประตูสำราญราษฎร์หรือประตูผีและแนวกำแพงเมือง เมื่อปี พ.ศ.๒๔๔๔ เพื่อขยายแนวถนนให้รับกับสะพานสมมตอมรมารคที่สร้างไว้อย่างงดงามเป็นสะพานเหล็กแบบเลื่อน และเป็นการพัฒนาพื้นที่ให้เกิดประโยชน์ในเชิงพาณิชย์ พระองค์ทรงซื้อที่ดินตามแนวขยายถนนที่ประตูผี โดยรื้อถอนโรงแถวของเดิมออกไปพัฒนาบริเวณนี้ให้เป็นย่านธุรกิจการค้าที่ต่อเนื่องจากแยกเสาชิงช้า ผ่านแยกสำราญราษฎร์ สะพานสมมติอมรมารค ผ่านเมรุปูนวัดสระเกศฯออกนอกเมือง

เมื่อปี พ.ศ. ๒๔๕๖ พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวโปรดเกล้าฯ มีการนำเข้าเตาเผาศพทันสมัยที่สั่งซื้อจากต่างประเทศมาติดตั้งและปรับปรุงที่เมรุปูนวัดสระเกศฯโดยสมเด็จเจ้าฟ้ากรมพระยาริศรานุวัดติวงศ์ และยังให้มีการจัดตั้งการประปาที่แยกแม้นศรีที่ต่อเนื่องกับชุมชนบ้านบาตรและเมรุปูน วัดสระเกษในปีต่อมา ซึ่งการปรับปรุงสุขอนามัยและระบบสาธารณสุขดังกล่าวเป็นพระราชดำริมาตั้งแต่ครั้งรัชกาลที่ ๕ จนถึงราว พ.ศ. ๒๔๖๗ Karl Dohring ชาวดัตช์ยังคงวาดภาพลายเส้นเมรุปูนวัดสระเกศฯที่ไม่ได้ถูกรื้อถอนหรือแตกต่างไปจากที่เคยเห็นในภาพถ่ายครั้งรัชกาลที่ ๕ มากนัก

5

ท่าเรือเมรุปูนวัดสระเกศฯ จากคลองโอ่งอ่าง ภาพลายเส้นโดย คาร์ล ดอร์ริงห์

เมรุปูนที่วัดสระเกศฯที่ใช้สำหรับปลงศพพระราชวงศ์ ผู้มีฐานะ คงหมดความนิยมไป เนื่องจากมีสถานที่อื่นๆ ทั้งเมรุหลวงที่วัดเทพศิรินทร์ฯ และฌาปนสถานอื่นๆ อีกมาก มีบันทึกไว้ว่า เมื่อราว พ.ศ. ๒๔๗๔ เริ่มมีการจัดการศึกษาประชาบาลขึ้นในจังหวัดพระนครและธนบุรี โดยการริเริ่มของพระยาเพ็ชรพิไสยศรีสวัสดิ์ ได้กราบทูลขอใช้สถานที่เมรุปูน วัดสระเกศฯ จากสมเด็จเจ้าฟ้ากรมพระยานริศรานุวัดติวงศ์  มาแก้ไขดัดแปลงซ่อมแซมใช้เป็นอาคารเรียน จนกลายเป็น “โรงเรียนประชาบาลตำบลบ้านบาตร ๑”   ต่อมาได้สร้างโรงเรียนอาชีพช่างเหล็ก แล้วจัดสถานที่บริเวณเมรุปูนนี้เป็นใช้อบรมวิชาต่างๆ แก่ครูประชาบาลรวมทั้งมีการจัดสอบเลื่อนวิทยฐานะด้วย ความสืบเนื่องนี้ต่อมากลายเป็น “ฌาปนสถานของคุรุสภา”

4

แผนที่บริเวณบ้านบาตร เมื่อราว พ.ศ. ๒๔๔๐ ยังคงเห็นเมรุปูนตั้งอยู่อีกฝั่งหนึ่งของถนนบำรุงเมือง

ต่อมาพื้นที่ดังกล่าวก็ใช้เป็นแหล่งมหรสพ เช่น วิกลิเกเมรุปูนอันโด่งดังของพระนครในยุคสมัยหนึ่ง จนทางวัดสระเกศฯมอบสถานที่ให้เป็นที่ตั้งของ “โรงเรียนช่างไม้วัดสระเกศฯ” และต่อมาในปี พ.ศ. ๒๕๐๔ จึงตั้งขึ้นเป็น “โรงเรียนสารพัดช่างพระนคร” และ “วิทยาลัยสารพัดช่างพระนคร” ตามลำดับ

คนบ้านบาตร

หมู่บ้านบาตรด้านทิศเหนือตั้งอยู่ติดกับ “คลองบ้านบาตร” เป็นแพรกที่แยกออกมาจากคลองโอ่งอ่าง อีกฝั่งหนึ่งติดกับเมรุและป่าช้าวัดสระเกศฯ เป็นหมู่บ้านที่ทำงานหัตถกรรมตีบาตรพระมาตั้งแต่ต้นกรุง ด้านหนึ่งติดกับถนนบริพัตรและต่อเนื่องกับวังบ้านดอกไม้ของพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระกำแพงเพชรอัครโยธิน ซึ่งอยู่ติดกับชุมชนที่มีย่านทำดอกไม้เพลิงแบบโบราณคือ “หมู่บ้านดอกไม้” ซึ่งเป็นหมู่บ้านผลิตและขายดอกไม้ไฟ อยู่ไม่ไกลจากเมรุหลวงวัดสระเกศฯฯ มีช่างดอกไม้ไฟที่มักจะใช้ในงานพระบรมศพหรืองานเมรุที่มีมาแต่ครั้งต้นกรุงฯ แล้ว เป็นการประดิษฐ์ดอกไม้เพลิงแบบโบราณ ซึ่งตั้งอยู่ติดกับทางถนนวรจักรและถนนหลวงและยังมีบ้านที่ทำดอกไม้ไฟแบบเก่าสืบต่อมาอยู่บ้างที่ชุมชนนี้จนถึงปัจจุบัน

6

การก่อสร้างหอส่งน้ำประปาของพระนครที่มา : ภาพส่วนบุคคลของบาทหลวงมิเชล ดิดิเออร์                  (Michel Didier) หลานของ เฟอร์นาน ดิดิเออร์ (Fernand Didier) นายช่างชาวฝรั่งเศส                                ผู้สร้างการประปาของกรุงเทพฯ

บริเวณส่วนที่ต่อมาจากเมรุปูนคือ “การประปาแม้นศรี” ซึ่งการประปานั้นแรกตั้งในรัชกาลพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ราว พ.ศ. ๒๔๕๒ ให้กรมสุขาภิบาลรับผิดชอบเพื่อหาน้ำสะอาดใช้สำหรับพระนคร โดยใช้นายช่างชาวฝรั่งเศส โดยสร้างที่สี่แยกแม้ศรี แต่มาสร้างสำเร็จในช่วงรัชกาลพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว เป็นสำนักงานการประปากรุงเทพฯ ซึ่งเปิดเป็นทางการเมื่อเดือนพฤศจิกายน พ.ศ. ๒๔๕๗

บริเวณเหนือสี่แยกแม้ศรีที่เป็นสะพานแม้นศรี สร้างข้ามคลองย่อยที่แยกออกจากคลองมหานาคเข้ามาพื้นที่ภายในด้านเหนือคลอง ชื่อ “แม้นศรี” มาจากชื่อหม่อมแม้น ธิดาเจ้าพระยาสุรวงศ์ไวยวัฒน์ (วร บุนนาค) เป็นหม่อมในสมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอเจ้าฟ้าภาณุรังษีสว่างวงศ์ กรมพระยาภาณุพันธุวงศ์วรเดช หรือ “สมเด็จวังบูรพา” เมื่อหม่อมแม้นถึงแก่อนิจกรรมมีพิธีกรรมจัดใหญ่มาก และมีผู้สมทบเงินช่วยงานศพจึงนำเงินนั้นมาสร้างสะพานข้ามคลอง เพื่อเป็นสาธารณประโยชน์และอุทิศส่วนกุศลให้แก่หม่อมแม้น สะพานนี้เปิดใช้ครั้งแรกเมื่อเดือนมกราคม พ.ศ. ๒๔๕๑ ตั้งชื่อสะพานเป็นอนุสรณ์แก่หม่อมแม้นว่า “สะพานแม้นศรี”

บริเวณนี้เคยมีชุมชนชาวทวาย เพราะเป็นกลุ่มที่อพยพเข้ามาครั้งสงครามในรัชกาลสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกฯ เมื่อครั้งสงครามตีเมืองทวายราว พ.ศ. ๒๓๓๐ ช่วงแรกโปรดเกล้าฯ ให้ชาวทวายกลุ่มนี้ตั้งบ้านเรือนอยู่บริเวณนอกป่าช้าวัดสระเกศฯ นอกพระนครกลุ่มหนึ่งที่เรียกกันว่า “ตรอกทวาย” จนถึงปัจจุบัน และกลุ่มที่อยู่ภายในกำแพงพระนครตั้งบ้านเรือนอยู่บริเวณตรอกข้างวัดมหรรณ์ฯ หลังโบสถ์พราหมณ์อีกกลุ่มหนึ่ง ภายหลังในรัชกาลเดียวกันให้ย้ายกลุ่มชาวทวายที่ตรอกทวายเหนือป่าช้าวัดสระเกศฯ ไปอยู่ที่ทางฝั่งใต้นอกพระนครบริเวณวัดคอกควาย ซึ่งต่อมามีการบูรณะปฏิสังขรณ์ขึ้นใหม่ในครั้งรัชกาลที่ ๓ จนได้ชื่อวัดยานนาวาเรียกชื่อสืบกันมาอย่างเป็นทางการว่าอำเภอบ้านทวายและเปลี่ยนเป็นอำเภอยานนาวาในภายหลัง

ดังที่ทราบกันดีว่า หมู่บ้านรอบพระนครและภายในพระนคร หากไม่ใช่บ้านเรือนของขุนนางและครอบครัวที่รับราชการขึ้นต่อวังและมูลนายต่างๆ ก็จะเป็นกลุ่มคนจีนที่เข้ามาทำการค้าอาศัยอยู่ตามตึกห้องแถวต่างๆ หรือย่านตลาดในกลุ่มย่านสำเพ็งและถนนเยาวราชและอื่นๆ

ส่วนกลุ่มผู้คนส่วนใหญ่ที่อยู่อาศัยเป็นชุมชนหมู่บ้านจะมีอาชีพทำงานหัตถกรรมพื้นฐานค้าขายแก่ผู้คนตามความเหมาะสมแก่ชีวิตในช่วงยุคสมัยนั้นๆ เช่น ทอผ้าขาย ทำพานเงิน ทำเครื่องจักสาน ทำบาตรพระ ทำเครื่องทอง ตีทองคำเปลว ทำโอ (ภาชนะใส่ของ) ทำสายรัดประคด ก่ออิฐถือปูน ฯลฯ หลายกลุ่มบ้านสืบเชื้อสายและงานช่างฝีมือมาจากชาวบ้านชาวเมืองที่ถูกอพยพเข้ามาเติมผู้คนในกรุงเทพมหานครช่วงต้นกรุงฯ คือครั้งรัชกาลที่ ๑ เช่น คนเชื้อสายเขมร เชื้อสายทวาย เชื้อสายมลายู เชื้อสายญวน และมีเป็นจำนวนมากที่เข้ามาครั้งรัชกาลที่ ๓ คือ เชื้อสายลาว เชื้อสายมลายู เชื้อสายญวน ชาวเมืองพัทลุงที่เป็นไพร่หลวงเกณฑ์บุญ ฯลฯ ส่วนใหญ่ได้รับพระราชทานที่ดินเพื่อตั้งบ้านเรือน ศาสนสถานประจำชุมชนเป็นหมู่บ้านต่างๆ ปรากฏให้เห็นชัด ส่วนหนึ่งได้รับราชการกลายเป็นช่างหลวงสังกัดกรมกองต่างๆ ดังเช่นช่างทองเชื้อสายมลายูมุสลิม ช่างทำพานหรือเครื่องเงินเชื้อสายลาว ในกลุ่มเหล่านี้จะไม่ถูกควบคุมในการเกณฑ์แรงงานมากนักและสามารถเติบโตทางสังคมรับราชการได้บรรดาศักดิ์ ขึ้นกับเจ้านายและขุนนางระดับสูงวังต่างๆ เรียกว่า “ช่างเชลย” มาแต่ก่อน

ส่วนช่างทำบาตรก็เป็นหนึ่งในงานช่างหลวง เช่น ในครั้งรัชกาลที่ ๔ มีบันทึกไว้ใน “พระราชบัญญัติเรื่องการไถ่ตัวไพร่หลวงเป็นทาส” กล่าวถึงช่างหลวงมีช่างต่างๆ ลำดับดังต่อไปนี้

“หมู่ไพร่หลวงซึ่งเป็นช่างคฤหัสช่างทหารใน ช่างเขียน ช่างปั้น ช่างรัก ช่างปูน ช่างแกะ ช่างกลึง ช่างหุ่น ช่างหุงกระจก ช่างบุ ช่างหล่อ ช่างแผ่ดีบุก ช่างเหล็ก ช่างเรือ ช่างดอกไม้เพลิง ช่างสลักหนัง ช่างชาดสีสุก ช่างฉลองพระบาท ช่างเลื่อยงา ช่างฟอก ช่างทำยอนพระกรรณ์ ช่างบาตร ช่างประดับกระจก ช่างปิดกระจก ช่างดัดต้นไม้ ช่างเหลารางปืน ช่างเงิน ช่างทอง ช่างมุก ช่างย้อมผ้าสีขี้ผึ้ง ช่างต่อฝาบาตร ช่างเขียนน้ำกาว ช่างสาน ช่างคร่ำ ช่างทอสายคัมภีร์ ช่างทำฝักพระแสง ช่างสานพระมาลา ช่างทำกรรไกร ช่างชำระพระแสง ช่างฟันช่อฟ้าหางหงส์”

จนถึงรัชกาลที่ ๕ โปรดเกล้าฯ ให้จัดระเบียบ “ช่างหลวง” ที่แยกกันอยู่คนละหมวดละกอง หรือต่างกรมกัน มาแต่โบราณนั้นเสียใหม่ เพราะไม่มีผู้บังคับบัญชาและแยกกันอยู่ ต่อมาจึงให้ขึ้นกับ “กรมวัง” เสียที่เดียว
ช่างบาตรก็เป็นหนึ่งในกลุ่มช่างหลวงที่สังกัด “กรมวัง” ดังกล่าว (การปฏิรูปการปกครอง พ.ศ. ๒๔๓๘โปรดเกล้าฯ ให้ส่วนราชการที่มีหน้าที่ปฏิบัติราชการในพระราชสำนัก ซึ่งแต่เดิมมีชื่อว่า กรมวัง หรือ จตุสดมภ์กรมวัง เป็นกระทรวงมีชื่อว่า กระทรวงวัง ซึ่งคือสำนักพระราชวังในเวลาต่อมา) โดยผู้อยู่อาศัยที่หมู่บ้านบาตรนั้น บางท่านก็เป็นช่างบาตรหลวงก็มี ส่วนช่างอิสระที่ตีบาตรขายโดยเอกเทศ แต่ขึ้นอยู่กับมูลนายท่านต่างๆ นั้นมีอยู่โดยมาก แม้จะเป็นหนึ่งในงานช่างหลวงที่ถูกรวบรวมไว้เป็นหมวดหมู่และกรมกอง แต่ก็ถือเป็นชาวบ้านกลุ่มใหญ่ที่เป็นไพร่สังกัดมูลนายแต่ก็เป็นผู้คนในหมู่บ้านที่ทำบาตรค้าขายอย่างอิสระตลอดมาน่าจะตั้งแต่ช่วงต้นกรุงฯ จนถึงปัจจุบัน

ในเอกสารสารบาญชีส่วนที่ ๓ และ ๔ ราษฎรในจังหวัด คูแลคลอง ลำปะโดง สำหรับเจ้าพนักงานกรมไปรสนีย์กรุงเทพ ตั้งแต่จำนวนปีมะแม เบญจศก จุลศักราช ๑๒๔๕ หรืออยู่ในช่วง พ.ศ. ๒๔๒๖ หรือในราวช่วงกลางรัชกาลที่ ๕ มีผู้คนที่อยู่อาศัยริมคลองบ้านบาตรและมีอาชีพทำบาตรอยู่หลายบ้าน เช่น นายจิต บุตรขุนศรีพยุห ขึ้นหลวงยุทการบัญชา, อำแดงจ๋อง บุตรขุนทิพ, อำแดงค่าง บุตรพระยาบำเรอ, อำแดงเอม บุตรนายชุ่ม
ส่วนบริเวณหมู่บ้านบาตรที่ไม่ได้ติดริมคลองบ้านบาตรที่ทำบาตรเช่นกัน เช่น นายหล้า เป็นหลวงฤทธามาด ขึ้นพระยาราชโยธาในพระราชวังบวร ตีบาตรขาย, อำแดงนิน บุตรหมื่นพิิจ สมุหบาญชีช่างบาตร ตีบาตรขาย, นายกลับเป็นหมื่นวิสูตรโยธา สมุหบาญชี ขึ้นพระยาภูธราไภย ตีบาตรขาย, อำแดงมาม่าย ตีบาตรขาย, นายนิ่ม ขึ้นพระยาไภยรนฤท ตีบาตรขาย, อำแดงมีม่าย ตีบาตรขาย, อำแดงจ้อยม่าย ตีบาตรขาย, นายภัก ขึ้นพระรายาราชโยธา ในพระราชวังบวรฯ ตีบาตรขาย, นายยิ้มเป็นหมื่นจิตรสมุหบาญชีขึ้นพระประดิตนิเรศจางวางช่างทหารในยวนตีบาตรขาย,

อำแดงหนูม่ายตีบาตรขาย, อำแดงขาว ตีบาตรขาย, นายโพ เป็นสาระวัต ขึ้นพระยามหามนตรี ตีบาตรขาย, นายจุ้ย เป็นหมื่นเทพขึ้นกรมวังช่างบาตร ตีบาตรขาย, นายขุนเนนเป็นขุนปราบขึ้นเจ้ากรมทหาร ตีบาตรขาย, นายนุด บุตรขุนโส ขึ้นกรมพระบำราบประปักษ์ ตีบาตรขาย, นายจ้อย ขึ้นพระองค์เจ้าประเสริฐศักดิ์ ตีบาตรขาย, นายโล ขึ้นพระองค์เจ้าชายดำ ตีบาตรขาย, นายหุ่น ขึ้นขุนโล่กรมช่างบาตร ตีบาตรขาย, อำแดงเย็น ตีบาตรขาย, นายบุญเป็นขุนโล่ขึ้นกรมวัง ตีบาตรขาย, นายรอดเป็นมหาดเล็ก ตีบาตรขาย, อำแดงชะมด บุตรขุนโล่ ตีบาตรขาย, อำแดงทิม ตีบาตรขาย, นายฤาษขึ้นกรมวัง ตีบาตรขาย, นายเอี่ยม สาระวัตบ้านบาตร ตีบาตรขาย

7

ช่างทำบาตรที่บ้านบาตรในปัจจุบัน

ชาวบ้านบาตรในปัจจุบันคงสืบเชื้อสายมาจากชาวบ้านบาตรที่ปรากฏรายชื่อดังกล่าวตั้งแต่สมัยครั้งรัชกาลที่ ๕ แต่ก่อนหน้านั้นไม่มีหลักฐานอื่นใดกล่าวว่าจะเป็นชาติพันธุ์อื่นใดที่ถูกอพยพเคลื่อนย้ายเข้ามาเป็นไพร่พลเมืองในพระนครหรือไม่ เพียงแต่สังเกตได้ว่า ในรายชื่อครั้งรัชกาลที่ ๕ ผู้ตีบาตรขายมีทั้งที่เป็นขุนนางในสังกัดกรมวังที่เป็นช่างตีบาตรหลวง มีขุนนางระดับหมื่นที่ทำงานเป็นสมุหบาญชีและตีบาตรไปด้วยสองสามคน แต่ผู้ประกอบการมีที่เป็นฝ่ายหญิงเสียมากกว่าสัดส่วนของฝ่ายชาย ในสังคมที่ฝ่ายหญิงเป็นผู้จัดการ ควบคุมและสืบงานช่างงานฝีมือประจำกลุ่ม การทำบาตรต้องใช้แรงงานจำนวนไม่น้อยในการทำบาตรขั้นตอนต่างๆ ทุกกระบวนการดูเป็นงานหนักกว่างานช่างอื่นๆ ตั้งแต่การนำเหล็กแผ่นมาขึ้นรูปและตีตามวิธีการต่างๆ ไปจนถึงเชื่อมให้เป็นชิ้นเดียวกัน กระบวนการเหล่านี้ส่วนใหญ่ใช้แรงงานทำกันภายในครอบครัว

การตีบาตรพระจึงต้องใช้พื้นที่ตั้งเตาเพื่อเร่งความร้อน มีการไหว้เตาเผาเหล่านี้แทบทุกบ้าน เพราะถือเป็นของศักดิ์สิทธิ์ที่มีครูประจำเตาอัดสูบแรงดันเพื่อเร่งไฟและสูบชักขึ้น ในกลุ่มช่างแบบดั้งเดิมที่ทำงานช่างเกี่ยวกับเตาสูบเร่งแรงดันพบทั่วไปในกลุ่มช่างตีเหล็กทั้งในกลุ่มชาติพันธุ์ดั้งเดิมในระดับชนเผ่าและที่สืบเนื่องตลอดมาจนถึงในช่วงประวัติศาสตร์ก็มักพบว่ามีการบูชาสิ่งศักดิ์สิทธิ์เพื่อคุ้มครองผู้ทำอาชีพเหล่านี้ ทั้งครอบครัวและชุมชนจึงต้องมีพิธีกรรมบูชาผู้คุ้มครอง [Gardian spirit] ประจำเตาสูบลมเช่นเดียวกับพบที่บ้านบาตร เราจึงพบว่ามีการตั้งศาลพ่อปู่บ้านบาตรที่เตาสูบอยู่หลายแห่ง และพิธีไหว้ครูที่ศาลพ่อปู่ในวันพฤหัสบดี ช่วงสงกรานต์ที่ลูกหลานชาวบ้านบาตรจะกลับมาไหว้พ่อปู่บ้านบาตรกันจำนวนมากและสม่ำเสมอ
ช่างตีเหล็กถือเป็นอาชีพสำคัญในสังคมดั้งเดิมและสังคมก่อนสมัยใหม่ที่มีการพัฒนาอุตสาหกรรมเหล็กเปลี่ยนไปในรูปแบบต่างๆ ที่สะดวกง่ายแก่การผลิตเป็นชิ้นงานต่างๆ มากขึ้น แต่ในสังคมแบบเกษตรกรรม ช่างเหล็กถือว่าเป็นกลุ่มผู้ได้รับความนับถือและมีความสำคัญอย่างยิ่งในสังคมแบบเดิม

นอกจากนี้ ในบ้านบาตรยังคงมีบ่อน้ำอยู่หลายแห่ง มีความต้องการใช้น้ำเพื่อใช้กับการตีบาตรในกรรมวิธีผลิตต่างๆ มากกว่าชุมชนอื่นๆ ด้วยพื้นที่เป็นที่ต่ำเป็นหล่มอยู่แล้ว น้ำใต้ดินจึงขุดพบได้ง่าย บ่อน้ำที่บ้านบาตรกรุขอบด้วยปูนขอบบ่อสูงจากพื้นพอกันสิ่งสกปรกลงไปได้ ปากบ่อกว้างราว ๑-๒ เมตร ใช้ทั้งกินและใช้ ในอดีตนอกจากจะมีคลองบ้านบาตรเป็นขอบเขตของชุมชนทางด้านเหนือและมีกลุ่มบ้านที่ทำบาตรตั้งอยู่ กลุ่มบ้านที่อยู่ด้านในหลายแห่งที่ตีบาตรก็พบว่ายังคงบ่อน้ำที่ยังไม่ถมอยู่อีกหลายจุด และถือว่าเป็นชุมชนที่มีบ่อน้ำแทบทุกบ้านมาแต่ดั้งเดิมมากกว่าชุมชนเก่าอื่นๆ ทีเดียว อาจจะเป็นสาเหตุสำคัญที่ทำให้ชุมชนบ้านบาตรไม่มีไฟไหม้ครั้งใหญ่แต่อย่างใดแตกต่างไปจากบริเวณอื่น

02-8

บ้านเรือนที่บ้านบาตรเมื่อกว่า ๕๐ ปีที่ผ่านมา

นอกจากนี้ที่บ้านบาตรยังมีศาลากลางบ้าน ใช้งานสำหรับทำพิธีสงฆ์และงานพิธีอื่นๆ ทั้งของส่วนรวมและส่วนบุคคล มีการนิมนต์พระมาเทศน์ในวันธรรมสวนะ เลี้ยงพระในวันสำคัญ โดยชาวบ้านบาตรเป็นส่วนหนึ่งของปริมณฑลของวัดสระเกศฯฯ มาตั้งแต่โบราณจนทุกวันนี้ ศาลากลางบ้านที่บ้านบาตรถือเป็นรูปแบบการมีอยู่ของพื้นที่สาธารณะแบบดั้งเดิมซึ่งมีอยู่ในชุมชนแบบชนบท การคงอยู่นี้แสดงถึงรูปแบบของชุมชนดั้งเดิมในกรุงเทพฯ ที่มีองค์ประกอบของชุมชนไม่ต่างจากในชนบทแต่อย่างใด เพราะเป็นพื้นที่สาธารณะที่ใช้ประชุมชาวบ้าน พื้นที่สำหรับเด็กในชุมชน และในช่วงสงครามโลกครั้งที่สองและหลังสงคราม รำวงบ้านบาตรก็เคยใช้พื้นที่ลานบ้านซึ่งเคยมีพื้นที่กว้างขวางกว่าในปัจจุบันจัดรำวงร้องเพลงร่ายรำเป็นที่ครึกครื้นกันแทบทุกวันอยู่ช่วงหนึ่ง

พื้นที่สาธารณะที่บ้านบาตรที่เรียกว่า “ศาลากลางบ้าน” ในพื้นที่กรุงเทพฯ ในย่านพระนครหรือย่านเก่าต่างๆแทบจะไม่พบหรือมีศาลาแต่ไม่พบว่ามีการใช้งานเช่นเดียวกับที่ชุมชนบ้านบาตรแต่อย่างใด

ทั้งพื้นที่สาธารณะเช่นศาลากลางบ้าน บ่อน้ำ การไหว้ศาลพ่อปู่ที่เตาสูบลมในการทำอาชีพตีเหล็กที่ต้องใช้เตาสูบลม และการอยู่อาศัยใน “ตรอก” เช่นนี้ถือเป็นรูปแบบของชุมชนดั้งเดิมในช่วงต้นกรุงฯ ที่ยังคงรักษาไว้ได้โดยไม่มีชุมชนอื่นใดในชุมชนย่านเก่าที่ยังคงรักษาสภาพแวดล้อมเช่นนี้ไว้ได้อีกแล้ว

ทุกวันนี้บ้านบาตรมีพื้นที่ประมาณ ๔ ไร่ ๓๗ งาน ที่ดินเป็นของสำนักงานทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์ ผู้คนที่อยู่อาศัยส่วนหนึ่งเข้ามาเช่าบ้านอยู่เพื่อทำงานในพื้นที่ต่างๆ จนบางครอบครัวมีลูกหลานรุ่นที่มาศึกษากันในกรุงเทพมหานครแล้ว

ภาพซ้าย  บ่อน้ำแห่งหนึ่งในบ้านของชาวบ้านบาตร

ภาพขวา บ่อน้ำในบ้านบ้านพระยาวรรณสิทธิ์ในชุมชนบ้านบาตร ที่พลเอกเปรม ติณสูติลานนท์                   เคยพำนักครั้งเป็นนักเรียน 

คนตีบาตรพระที่บ้านบาตรเคยมีอยู่มากเพราะทำบาตรกันแทบทุกบ้าน และส่งขายที่ถนนบำรุงเมืองแถบใกล้วัดสุทัศน์ฯ ที่ขายเครื่องสังฆภัณฑ์ที่รับบาตรจากบ้านบาตรไปจำหน่ายมาโดยตลอด การมีพื้นที่ของชุมชนอยู่ในสภาพแวดล้อมที่อยู่ใกล้ย่านที่มีคนจีนอยู่อาศัยอยู่มาก คนบ้านบาตรก็แต่งงานกับผู้ชายจีนอยู่หลายครอบครัว แต่ก็ยังสืบอาชีพตีบาตรมาทางสายมารดา บางบ้านเปิดร้านค้าขายชากาแฟในตรอกก็ยังสืบต่อเรื่อยมาจนกระทั่งราว พ.ศ. ๒๕๑๔ มีโรงงานปั๊มบาตรเกิดขึ้น เครื่องจักรกลสามารถผลิตบาตรได้ในราคาถูกกว่า ๗-๘ เท่า เช่น บาตรทำด้วยมือขนาด ๗ นิ้ว ราคาราวใบละ ๘๐๐ บาท แต่บาตรปั๊มราคาเฉลี่ยใบละ ๑๐๐ กว่าบาทเท่านั้น แรงงานที่เคยรับบาตรพระมาทำก็ต้องเลิกไปเกือบหมดและออกไปทำงานรับจ้างหรือค้าขายอื่นๆ เสียงกระหน่ำตีบาตรกันแทบทุกบ้านเพื่อขายส่งให้กับร้านสังฆภัณฑ์หายไปจากบ้านบาตรนานมากว่าสี่สิบปีแล้ว

แม้ต่อจากนั้นจะยังพอมีผู้สามารถทำบาตรตีมือหรือบาตรที่ปรับตัวได้เหลือเพียงไม่กี่บ้านหรือครอบครัวเท่านั้น บาตรที่บ้านบาตรกลายเป็นบาตรที่ต้องสั่งทำเฉพาะใบจากพระสงฆ์ที่รู้แหล่งผลิตและต้องการบาตรที่ทำอย่างถูกต้องตามตำราต่างๆ จนกลายเป็นบาตรที่มีราคาสูง และทำบาตรแบบเฉพาะสั่งทำพิเศษเรื่อยมาจนบางครอบครัวเลิกผลิตไปบ้างก็มี

ต่อมาชาวบ้านจึงตั้งกลุ่มอนุรักษ์การทำบาตรบ้าง กลับมาทำบาตรตามรอยบรรพบุรุษบ้าง และทำบาตรในราคาขายส่งที่ไม่แพงบ้าง และเหลืออยู่ไม่น่าจะเกิน ๖ ครอบครัวหรือเจ้าทำบาตรเท่านั้น การทำบาตรในทุกวันนี้ไม่สามารถแข่งขันกับบาตรปั๊มที่มีอยู่ได้จึงกลายเป็นกลุ่มสืบทอดและเผยแพร่วิธีการทำบาตรโบราณ ทำสำหรับผู้ที่ต้องการซื้อบาตรเป็นของที่ระลึก หรือต้องการบาตรแบบประณีตพิเศษ ราคาสูงเท่านั้น
ตีบาตรพระ
บาตรเป็นอัฐบริขารดั้งเดิมของภิกษุคู่กับไตรจีวร บาตรในพระวินัยอนุญาตไว้ ๒ ชนิด คือ บาตรดินเผาและบาตรเหล็ก อีกทั้งไม่ให้ใช้บาตรที่ทำด้วยกระทะดินเผา, กะโหลกน้าเต้าและกะโหลกหัวผี และห้ามใช้วัตถุที่ใช้ทำบาตรที่ทำจาก ทอง, เงิน,ทองแดง, ทองเหลือง, ดีบุก, สังกะสี, ไม้, แก้วมณี, แก้วไพฑูรย์, แก้วผลึก, แก้วหุง

ตามพระธรรมวินัยให้ภิกษุรู้จักรักษาบาตร ห้ามไม่ให้ใช้บาตรต่างกระโถน ไม่ควรทิ้งก้างปลา กระดูก เนื้อลงในบาตร ห้ามล้างมือ บ้วนปากลงในบาตร จะเอามือเปื้อนจับบาตรก็ไม่ควร ฉันแล้วต้องล้างบาตร จะเก็บบาตรทั้งยังเปียกๆ ไม่ได้ต้องผึ่งแดดก่อน ห้ามผึ่งทั้งยังเปียกและต้องเช็ดน้าให้หมดก่อนจึงผึ่ง

ภาพซ้าย ศาลพ่อปู่บ้านบาตร ที่ใช้ที่สูบลมอัดแรงดันในเตาไฟเป็นสัญลักษณ์.

ภาพขวา ภายในศาลากลาง

บ้านบ้านบาตรการทำบาตรเหล็กตามพระวินัยบัญญัติจะมีรอยตะเข็บของแผ่นเหล็กที่ต่อกันรวม ๘ ชิ้น ขนาด ๗-๘ นิ้ว และ ๙-๑๐ นิ้ว มีทั้งหมด ๕ รูปทรง ได้แก่

“ทรงดั้งเดิม” ฐานป้าน ก้นแหลมจึงไม่สามารถวางกับพื้นได้ ต้องวางบนฐานรองบาตร
“ทรงตะโก” ฐานมีลักษณะคล้ายทรงไทยเดิม แต่ก้นมนย้อย สามารถวางบนพื้นได้
“ทรงมะนาว” รูปร่างมน ๆ คล้ายกับผลมะนาวแป้น
“ทรงลูกจัน” เป็นบาตรทรงเตี้ย ลักษณะคล้ายทรงมะนาวแต่เตี้ยกว่า
“ทรงหัวเสือ” รูปทรงคล้ายกับทรงดั้งเดิมแต่ส่วนฐานตัดเล็กน้อย สามารถวางบนพื้นได้ (ทรงเดียวกับทรงตะโก ซึ่งเกิดจากจินตนาการของพระภิกษุเป็นรูปหัวเสือจึงมีการเพิ่มเติมรูปทรงใหม่ขึ้น)
ส่วนประกอบของบาตรคือ
“เชิงบาตร” ไว้สาหรับรับบาตร เพื่อกันบาตรกลิ้งและกันก้นบาตรสึกเพราะถูกครูดสี ส่วนใหญ่จะทาด้วยดีบุก สังกะสี หรือไม้
“ฝาบาตร” ส่วนใหญ่จะเป็นวัสดุชนิดเดียวกับเชิงบาตร ในงานช่างหลวงมีงานช่างต่อฝาบาตร นอกเหนือไปจากช่างตีบาตรด้วย แต่สำหรับชาวบ้านบาตรมักจะบอกว่าในุร่นของตนจะไปซื้อฝาบาตรจากร้านขายเคร่องใช้ของชาวอินเดียแถบพาหุรัดที่ทำเป็นจานคว่ำแต่สามารถใช้ปิดฝาบาตรได้พอดี
“ถลกบาตรหรือถุงสาโยค” มีไว้เพื่อสอดบาตรและคล้องไหล่ในเวลาเดินทางหรือบิณฑบาต มักทำด้วยผ้าเนื้อเดียวกับจีวร

การตีบาตรครั้งโบราณไม่มีหลักฐานว่านำแผ่นเหล็กจากที่ใดนำมาใช้ตีขึ้นรูป แต่สันนิษฐานว่าน่าจะมีการนำก้อนเหล็กถลุงตามพื้นบ้านมาเริ่มตีจนเป็นแผ่น หรือไม่ก็นำเข้าเหล็กหล่อ [Cast iron] เป็นก้อนจากจีนโดยการค้าโพ้นทะเลมาเป็นวัตถุดิบในการทำบาตรพระ

01-3-2

ช่างทำบาตรที่บ้านบาตรในอดีตกำลังรมดำ

แต่สำหรับความทรงจำของคนบ้านบาตรกล่าวว่าเคยใช้ตัวถังเหล็กยางมะตอยที่ทางเทศบาลกรุงเทพมหานครใช้ใส่ยางมะตอยเพื่อราดถนนมาทำเป็นบาตร มีผู้นำถังยางมะตอยที่ใช้แล้วมาส่งให้ราคาประมาณ ๑๐ กว่าบาทต่อถัง ถังยางมะตอยมีเนื้อบาง สามารถตีบาตรได้ง่าย สะดวก และราคาไม่แพง

แต่หลังจากเลิกทำบาตรเพราะมีบาตรปั๊มเข้ามาใช้ เมื่อเริ่มกลับมาทำใหม่จึงต้องไปหาซื้อแผ่นเหล็กแถบหัวลำโพงมาใช้ทำบาตร เป็นเหล็กคุณภาพดีขึ้นกว่าถึงยางมะตอย แต่ถ้าเป็นบาตรที่ต้องการชนิดพิเศษก็มีการปรับเป็นการใช้แสตนเลสก็มี

การผลิตบาตรแต่ละใบจะต้องผ่านกระบวนการหลายขั้นตอน ต้องมีการต่อเหล็กและขึ้นรูป โดยจะผลิตดังนี้
“ทำขอบบาตร” เป็นขั้นตอนแรก เนื่องจากขอบบาตรจะเป็นตัวกำหนดขนาดและรูปทรงของบาตร เริ่มจากนำเหล็กมาตัดตามขนาดของบาตร เช่น บาตรขนาด ๗ นิ้ว จะต้องตัดแผ่นเหล็กให้มีความยาว ๙ นิ้ว เพื่อเหลือเนื้อที่ไว้ประกบปลายทั้งสองด้าน แล้วนำมาตีเป็นวงกลม

จากนั้นเป็นกระบวนการ “ต่อบาตร” โดยเริ่มจาก “กะเหล็ก” วัดกะขนาดของเหล็กที่จะนำมาต่อเป็นกงหรือแกนเริ่มต้น แล้ว “ตัดเหล็ก” จากแผ่นเหล็กเป็นรูปกากบาทตามที่วัดไว้ แล้ว “เว้าเหล็ก” คือตัดส่วนปลายของแผ่นเหล็กรูปกากบาททั้ง ๔ ด้านแล้วทุบให้เรียบ ใช้กรรไกร “จักเหล็ก” ตรงส่วนเว้าของแผ่นเหล็กรูปกากบาทให้เว้าเข้าไปเพื่อให้เข้ากับปากบาตรได้พอดีกัน จากนั้น “งอเหล็ก” ดัดเหล็กที่จักแล้วให้โค้งได้ลักษณะของบาตรที่ต้องการ แล้วจึง “หักเหล็ก” ที่จักไว้แบบสลับฟันปลาเพื่อจะนำไปประกอบเข้ากับปากบาตร แล้วนำแผ่นเหล็กรูปกากบาทที่โค้งและหักสลับฟันปลาแล้วมาประกอบเข้ากับปากบาตรเรียกว่า “ติดกง” แล้วนำเอาแผ่นเหล็กมาวัดกะขนาดเพื่อประกอบเข้ากับกงเรียกว่า “ติดหน้าวัว” จากนั้น “ตัดหน้าวัว” คือการตัดแผ่นเหล็กตามที่วัดไว้และต้องตัดเผื่อไว้สาหรับจักฟันด้วยราว ๒-๓ มิลลิเมตร แล้วใช้กรรไกร “จักหน้าวัว” ให้รอบ เสร็จแล้วทุบให้เรียบ “ดัดหน้าวัว” ให้โค้งเพื่อจะนำไปประกอบกับกงให้ได้รูปทรงของบาตร จากนั้น “หักหน้าวัว” ง้างเหล็กที่จักให้ได้ลักษณะฟันปลา แล้ว “เข้าหน้าวัว” นำไปประกอบเข้ากับกงจนเป็นรูปบาตรเรียกว่า “บาตรหน้าวัว”

ขั้นตอนต่อมาคือการ “หยอดบาตร” เป็นการโรยผงประสานทองแดงลงตามตะเข็บด้านในขอบบาตร ต้องเตรียมโดยการนำบาตรไปแช่น้ำก่อน พอสะเด็ดน้ำจึงโรงผงประสานทองแดงลงไปทุกตะเข็บเพื่อให้ผงประสานทองได้เกาะติดตะเข็บได้

ต่อมาคือ “การแล่นบาตร” หรือเป่าแล่นเป็นการทำให้ผงประสานทองแดงละลายออกมาเชื่อมกันตามตะเข็บ โดยใช้ไฟที่มีความร้อนสูง

จากนั้น “ยุบมุมบาตร” เป็นการทุบตามตะเข็บและตรวจสอบว่าตะเข็บเชื่อมติดกันดีหรือยัง ถ้ายังมีปัญหาก็ต้องนำไปเป่าแล่นซ่อมอีกที

แล้วทำ “ลายบาตร” โดยใช้ค้อนทุบบาตรบนทั่งลายบาตรให้ได้รูปทรงของบาตรแต่จะยังไม่เรียบ จากนั้นก็นำไปแช่น้ำกรดให้กรดขัดขี้เหล็กออกให้หมด ก่อนที่จะไปตีให้เรียบ

นำบาตรมาตีให้เรียบ ช่างเรียกว่า “ตีเรียงเม็ด” เพื่อตีให้เรียบมากขึ้น จากนั้นคือ “การตะไบบาตร” นำบาตรที่ตีแล้วมาตะไบให้เรียบร้อยจนได้บาตรขาว จากนั้นคือการ “ระบมบาตร” เป็นการนาบาตรขาวไปอบด้วยความร้อนสูง จนเหล็กสุกและบาตรที่ได้จากการระบมจะมีสีค่อนข้างดำและด้าน

เครื่องมือที่ใช้ในการทำบาตรได้แก่ “ค้อน” ขนาดต่างๆ ใช้สำหรับตีเหล็กและตีบาตรให้เรียบ “คีบ” ใช้สำหรับหักเหล็ก (หักฟันปลา) “แท่งเหล็ก” ใช้สำหรับขีดกะเหล็ก “ทั่งเหล็ก” ใช้สำหรับรองในการทุบเหล็กและตีเหล็ก “กรรไกร” ใช้สำหรับการจักเหล็ก “ค้อนลาย” ใช้สำหรับลายบาตร “ทั่งลาย” ใช้สำหรับเป็นที่รองรับส่วนโค้งของขอบบาตรเพื่อลายบาตร “กรรไกรญวน” ใช้สำหรับตัดแผ่นเหล็ก “ลูกกระล่อน” ขนาดต่างๆ ใช้สำหรับรองรับในการทำบาตรและตีบาตร “เตา” ใช้สำหรับเป่าแล่น

การทำบาตรพระแต่ละใบด้วยการตีด้วยมือจึงใช้ผู้ชำนาญหรือช่างหลายคน จึงมีต้นทุนสูงเพราะแบ่งค่าจ้างแรงงานให้กับช่างฝีมือต่างๆ ประกอบด้วย ช่างตีขอบ ช่างต่อบาตร ช่างแล่น ช่างลาย ช่างตีและช่างตะไบ บางคนสามารถได้เองทุกขั้นตอนแต่แบ่งงานกันไปตามความชานาญเป็นการผ่อนแรงโดยมาก

ทุกวันนี้ส่วนใหญ่พระภิกษุฝ่ายธรรมยุตจะนิยมครองบาตรเหล็กที่มาจากชุมชนบ้านบาตร เนื่องจากวัตรของพระภิกษุฝ่ายธรรมยุตนั้นจะฉันอาหารภายในบาตรจึงนิยมใช้บาตรที่มีความแข็งแรงทนทานเพราะใช้บาตรในการฉันอาหารเป็นหลัก

01-2-1
04-11

สุเทพและปราณี สุทดิศ คนตีบาตรบ้านบาตรที่ยังคงทำบาตรอย่างสืบเนื่อง แม้จะมีการทำบาตรปั๊มเข้ามาแล้ว แต่มีการปรับตัวโดยรับตีบาตรเฉพาะรายและมีค่าใช้จ่ายพอสมควร                                                     โดยเฉพาะรับตีบาตรพระจาก วัดเขาสุกิม จังหวัดจันทบุรีและวัดสายพระป่าอื่นๆ                                            เมื่อคุณสุเทพสิ้นชีวิตไปแล้ว ครอบครัวจึงไม่มีการทำบาตรสืบต่อ

นอกจากการทำบาตรใหม่ในชุมชนบ้านบาตรแล้ว คนบ้านบาตรยังนำเอาบาตรเก่าที่มีคนไปตระเวณแลกบ้านเก่ากลับมาใช้งานใหม่โดยการซ่อมแซมโดยนำบาตรไปเผาด้วยไฟในเตาเผา แล้วกัดสนิมให้สะอาดโดยการแช่น้ำกรดอ่อนทำความสะอาดเนื้อเหล็ก แล้วนำไปตีบาตรเพื่อซ่อมแซมรอยยุบหรือรอยบุบและรมดำอีกครั้ง

สำหรับการย้อนกลับมาทำบาตรเพื่อผลิตโดยการสั่งทำหรือผลิตในราคาสูงนั้นที่บ้านบาตรยังมีผู้รับตีบาตรเช่นนี้ โดยเริ่มมาตีบาตรได้ในเวลาไม่ถึงสิบปีที่ผ่าน โดยการผลิตเองบ้าง จ้างช่างที่รับงานทั่วไปบ้าง เช่น การตีขอบ การขึ้นรูปบาตร และเชื่อม จากนั้นจึงทำเองหมดจนถึงขั้นสุดท้าย โดยผลิตงานอยู่ที่ใบละราวหนึ่งเดือน ทำเป็นบาตรสีขาวส่งไปให้เผาเอง ผิวของวัสดุจะเปลี่ยนไป สามารถที่จะใส่น้ำได้ ซึ่งสามารถทำได้เฉพาะบางรูปที่ทดลองการบ่มด้วยตนเองเท่านั้นเพื่อไม่ให้เป็นสนิมง่าย จนกระทั่งมาเปลี่ยนวัตถุดิบเป็นแสตนเลส เพราะพระบางรูปไม่สามารถบ่มหรือเผาให้เป็นเหล็กกล้าด้วยตนเอง แต่ก็ยังมีการตีบาตรแบบเดิมเช่นกัน

12

การนำบาตรเก่ามาซ่อมแซมใหม่ที่บ้านบาตร

ความรู้ในการตีบาตรคงอยู่กับคนบ้านบาตรมานานถือเป็นอาชีพสำคัญและยังสืบเนื่องมาจนถึงปัจจุบัน ในขณะที่งานหัตถกรรมหลายชนิดที่อยู่ภายในพระนครและรอบนอกในชุมชนบ้านต่างๆ หายสูญไปแล้วเกือบหมด

วิกเมรุปูน

วิกเมรุปูนน่าจะสืบเนื่องมาจากการมหรสพเมื่อมีงานฌาปนกิจผู้มีฐานะที่เมรุหลวงวัดสระเกศฯ ซึ่งจะมีการเล่นโขน ลิเก ละคร หุ่นกระบอก และมีออกร้านขายของกินของใช้มาตั้งแต่สมัยต้นกรุงฯ ทีเดียว บริเวณป่าช้าหรือเมรุปูนวัดสระเกศฯฯ จึงชื่อเสียงเรื่องการแสดงมหรสพและมีทั้งคณะลิเก คณะหุ่นกระบอก โขน ละครชาตรีคณะต่างๆ ที่อยู่ในแถบวัดสระเกศฯฯ เรื่อยไปถึงวัดคอกหมูหรือวัดสิตารามและทางฝั่งวัดแค นางเลิ้ง
วิกเมรุปูนเป็นวิกลิเกยอดนิยมวิกหนึ่งในช่วงยุคแรกๆ ของการแสดงลิเกตามวิกต่างๆ สภาพเป็นวิกไม้หลังคามุงสังกะสีและมีที่นั่งเป็นชั้นๆ

ลิเกเกิดขึ้นราวปี พ.ศ. ๒๔๔๐ โดยพระยาเพชรปาณี (ตรี) ผู้เป็นนักปี่พาทย์โขนละครและข้าราชการกระทรวงวัง ริเริ่มสร้างให้มีการเล่นละครร้องแบบชาวบ้านจึงคิดค้นผสม “ดิเกบันตน ดิเกลูกบท และละครรำ” ผสมผสานกับวัฒนธรรมของคนมลายูที่มีอยู่ก่อนเข้าด้วยกัน เคยเล่นที่บ้านหม้อก่อนย้ายมาเปิดวิกที่ชานพระนครใกล้ป้อมมหากาฬ เรียกว่าวิกรพระยาเพชรปราณี ลิเกทรงเครื่องนั้น แต่งเครื่องอย่างดี ใส่ผ้าไหมอย่างดี แต่ไม่มีผู้หญิงเล่น ใช้ผู้ชายล้วน

ต่อมาจึงมีคณะของดอกดิน เสือสง่า ที่โด่งดัง โดยเฉพาะการเป็นผู้แต่งการร้องทำนองลิเกแบบรานิเกริงหรือราชนิเกริง สันนิษฐานว่าแต่งขึ้นเมื่อราว พ.ศ. ๒๔๔๕ รวมทั้งการแสดงแบบชายจริงหญิงแท้โดยเฉพาะคู่พระคู่นางสองพี่น้องนายเต๊ก เสือสง่า และนางละออง เสือสง่า

ตั้งแต่ราว พ.ศ. ๒๔๕๖ หอมหวล นาคศิริ ก็มาหัดแสดงลิเกที่วิกเมรุปูน วัดสระเกศฯฯ ที่มีชื่อเสียงมาก และได้รับการช่วยเหลือจากครูแกร หัวหน้าคณะโขน ละคร และหุ่นกระบอก ซึ่งเป็นคณะที่มีชื่อเสียงอยู่แถวย่านวัดสระเกศฯฯ จนต่อมาจึงมีลิเกจากคณะหอมหวล นาคศิริ ที่แตกคณะออกไปจัดการแสดงตามวิกต่างๆ ทั่วกรุงเทพฯ และต่างจังหวัดและมีคณะลิเกที่ใช้นามหอมหวลสืบทอดมาจนถึงปัจจุบัน ในสมัยสงครามโลกครั้งที่ ๒ คนอยากดูลิเกเพราะไม่มีอะไรดู ชาวบ้านเหงาคนโหยหาความบันเทิง ทั้งวิกลิเกและการรำวงจึงเป็นเพียงมหรสพง่ายๆ สำหรับชาวบ้านยามยาก

วิกลิเกที่นิยมในช่วงยุคดอกดิน เสือสง่า จนมาถึงหอมหวล นาคศิริ ได้แก่ วิกเก่าตลาดยอด บางลำพู, วิกตลาดนานา วิกตลาดเทเวศร์, วิกตลาดเปรมประชา บางซื่อ กรุงเทพฯ, วิกบางรัก กรุงเทพฯ, วิกตาเฉย ตลาดพล ธนบุรี, วิกราชวัตร วิกช้างเผือก ถนนตก เป็นต้น

วิกลิเกเมรุปูนมีการแสดงมหรสพจนทางวัดสระเกศฯมอบสถานที่ให้เป็นที่ตั้งของ “โรงเรียนช่างไม้วัดสระเกศฯ” ซึ่งน่าจะอยู่ในช่วงหลังสงครามโลกครั้งที่ ๒ และวิทยาลัยสารพัดช่างพระนครในช่วง พ.ศ. ๒๕๐๔

หลวงประดิษฐ์ไพเราะและดนตรีทางบ้านบาตร

ที่ตรอกบ้านบาตรช่วงที่เชื่อมต่อกับถนนบริพัตร เมื่อเดินเข้ามาเล็กน้อยจะพบบ้านไม้เก่าทรุดโทรมแล้วอยู่ทางขวา บ้านนี้เคยเป็นบ้านของพระยาวรรณสิทธิ์ ข้าราชการ ?? เล่ากันว่าพลเอกเปรม ติณสูลานนท์ เคยพักอาศัยอยู่ที่เรือนพิกุลด้านหลังเรือนใหญ่ตั้งแต่สมัยเข้ามาเรียนหนังสือที่โรงเรียนสวนกุหลาบฯ ตรงนี้มีตรอกเล็กๆ เชื่อมกับตรอกด้านหลังบ้านบาตร พื้นที่ด้านหลังกว้างขวางเคยเป็นบ้านของ “หลวงประดิษฐ์ไพเราะ” สำนักดนตรีบ้านบาตรอันมีชื่อในอดีต ทุกวันนี้เป็นพื้นที่รกว่างหลังจากลูกหลานท่านย้ายบ้านออกไปก็ทำเปลี่ยนเป็นแฟลตสุกมล ก่อนถูกทุบทิ้งและทิ้งเป็นพื้นที่ว่างไว้เช่นนั้นจนทุกวันนี้

“หลวงประดิษฐ์ไพเราะ” หรือศร ศิลปบรรเลง เกิดเมื่อ พ.ศ. ๒๔๒๔ ที่ตำบลดาวดึงส์ จังหวัดสมุทรสงคราม เป็นบุตรคนสุดท้องของนายสินและนางยิ้ม ศิลปบรรเลง เป็นผู้มีความสามารถและรักทางดนตรีมาตั้งแต่อายุยังน้อย หัดเรียนดนตรีปี่พาทย์จากบิดาอย่างจริงจัง ท่านได้ออกงานใหญ่ครั้งแรกในงานโกนจุก เจ้าจอมเอิบ และเจ้าจอมอบ ธิดาเจ้าพระยาสุรพันธ์พิสุทธ์ จังหวัดเพชรบุรี ท่านได้แสดงฝีมือ ระนาดเอก จนเป็นที่เลื่องลือกันในหมู่นักดนตรี

14

  หลวงประดิษฐ์ไพเราะ (ศร ศิลปบรรเลง)

อายุไม่ถึงยี่สิบดี สมเด็จกรมพระยาภาณุพันธุ์วงศ์วรเดช เอาตัวไปเป็นมหาดเล็กเพราะทรงพอพระทัยในฝีมือพ.ศ. ๒๔๕๑ เป็นตำแหน่งจางวางศร ศิลปบรรเลง ได้จำเพลงชวามาหลายเพลงนำอังกะลุง เข้ามาเล่นเพลงไทยเป็นคนแรกโดยนำมาฝึกมหาดเล็กในวังบูรพาภิรมย์จนสามารถนำออกแสดงครั้งแรกหน้าพระที่นั่งในงานกฐินพระราชทาน ณ วัดราชาธิวาส เป็นเหตุให้เกิดการเล่นอังกะลุงกันอย่างแพร่หลาย

และยังแต่งเพลงปรับปรุงเพลงและวงดนตรีไทยให้ดีขึ้น ในช่วงรัชกาลที่ ๖ ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯพระราชทานพระราชทินนามและบรรดาศักดิ์ให้เป็น “หลวงประดิษฐ์ไพเราะ” ต่อมาได้รับพระราชทานแต่งตั้งให้เป็นปลัดกรมปี่พาทย์หลวง กระทรวงวัง พอถึงรัชกาลที่ ๗ หลวงประดิษฐ์ไพเราะร่วมกับหลวงไพเราะเสียงซอ (อุ่น ดุริยชีวิน) ได้รับราชการเป็นผู้ถวายวิชาดนตรีไทยแด่รัชกาลที่ ๗ และสมเด็จพระบรมราชินี

ท่านบวชเรียน ณ วัดบวรนิเวศวิหาร จากนั้นก็ทรงพระกรุณาฯ จัดการแต่งงานให้กับ นางสาว โชติ หุราพันธ์ ธิดาพันโทพระประมวล ประมาณผล ท่านแต่งเพลงไว้มากมายถึงกว่าร้อยเพลง รวมทั้งเป็นครูสอนที่โรงเรียนมหาดเล็กหลวง โรงเรียนราชินี โรงเรียนนาฏศิลป์ กรมศิลปากร และที่คุรุสภา

ในคราวที่มีตำแหน่งเป็นจางวางศรนั้น ท่านเคยได้รับพระมหากรุณาธิคุณจาก สมเด็จพระราชปิตุลาบรมพงศาภิมุข เจ้าฟ้าภาณุรังสีสว่างวงศ์ กรมพระยาภาณุพันธุวงศ์วรเดช หรือ “สมเด็จฯวังบูรพา” ให้พำนักอยู่บ้านริมคลองโอ่งอ่างฝั่งตรงข้ามกับวังบูรพาภิรมย์ หลังจากสมเด็จฯ วังบูรพาเสด็จทิวงคตใน พ.ศ. ๒๔๗๑ ท่านก็ย้ายออกจากบ้านเดิมมาสร้างบ้านพักอยู่อาศัยและทำสำนักสอนดนตรีไทยอยู่ในละแวกชุมช

บ้านบาตรขนาดพื้นที่ราว ๑ ไร่ ซึ่งไม่ไกลจากบ้านเดิมนัก ปลูกเรือนหมู่ เรือนเก็บเครื่องดนตรี และมีพื้นที่สำหรับใช้ประกอบพิธีกรรมไหว้ครูดนตรี ซึ่งถือเป็นจุดนัดพบสำคัญของนักดนตรีไทยในอดีตที่มาร่วมงานพิธีและประชันดนตรีปี่พาทย์เป็นงานใหญ่

การย้ายมาอยู่ที่บ้านบาตรนี้ ท่านได้รับพระมหากรุณาธิคุณจากพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว พระราชทานเงินส่วนพระองค์ จำนวน ๑ หมื่นบาท ช่วยสมทบซื้อที่ดิน ส่วนเงินค่าใช้จ่ายในการปลูกบ้านนั้น บางส่วนได้รับความช่วยเหลือจากบรรดาเจ้านายที่ได้เคยถวายการสอนดนตรี

หลวงประดิษฐไพเราะอาศัยอยู่ในพื้นที่บ้านบาตรนี้ตั้งแต่ พ.ศ. ๒๔๗๑ จนถึงวันที่ ๘ มีนาคม พ.ศ. ๒๔๙๗ ท่านสิ้นลมหายใจที่บ้านบาตรอายุรวมได้ ๗๒ ปี รวมเวลาที่อยู่ในย่านบ้านบาตรนานราว ๒๖ ปี

ระยะเวลาที่อยู่บ้านบาตรนี้ เป็นช่วงเลยวัยกลางคนของท่านครูแล้ว ผ่านฉากชีวิตการประชันวงหน้าพระที่นั่งและการถวายงานราชสำนักมามากและมีครอบครัวที่ผาสุข มีลูกหลานและลูกศิษย์ที่ผ่านการอบรมสั่งสอนมาดีแล้ว ท่านจึงสามารถทำหน้าที่ความเป็นครูดนตรีและดุริยกวีนักแต่งเพลงได้อย่างเต็มที่ เกิดงานเพลงสร้างสรรค์ใหม่ในสังคมไทยที่เดินทางออกมาจากสำนักบ้านบาตรมากมาย เช่น เพลงโหมโรงศรทอง เพลงโหมโรงกราวนอก เพลงแสนคำนึงเถา เพลงกราวรำเถา เพลงกระต่ายเต้น เพลงชุดสามขะแมร์ เพลงเขมรไทรโยคเถาใหญ่ เพลงแขกขาวเถา เพลงเขมรภูมิประสาทเถา เพลงชมแสงจันทร์-ชมแสงทอง เพลงทยอยนอกเถา เพลงทยอยในเถา เพลงนกเขาขะแมร์เถา นางหงส์ ๖ ชั้น เพลงมู่ล่งเถา เพลงชุดด้อมค่าย เพลงรถติด เพลงระบำฉิ่ง เพลงระบำกลอง เพลงลาวดำเนินทรายทางเปลี่ยน เพลงลาวคำหอมเถา เพลงไส้พระจันทร์เถา เพลง อะแซหวุ่นกี้เถา รวมไปถึงเพลงเดี่ยวเครื่องดนตรีต่างๆ รอบวงที่แสดงถึงทักษะขั้นสูงของนักดนตรี (อานันต์ นาคคง, เพลงดีที่บ้านบาตร ตอน “รำวงบ้านบาตร”

อาจารย์อานันต์ นาคคงกล่าวว่า คำว่า “บ้านบาตร” เปรียบเสมือนสำนักตักศิลาทางดนตรีไทยที่ยิ่งใหญ่มากในยุคก่อนและหลังเปลี่ยนแปลงการปกครอง เพราะเป็นโอกาสที่คนรุ่นใหม่ในเวลานั้นที่มุ่งแสวงหาความรู้ประสบการณ์และชื่อเสียงในโลกดนตรีไทย ต้องมุ่งมาพบกับท่านครูหลวงประดิษฐไพเราะฯ พวกลูกศิษย์มักเรียกขานทางเพลงที่เป็นผลงานประพันธ์ของท่านครู ในยุคที่มาพำนักอยู่สถานที่แห่งนี้ว่า “เพลงทางบ้านบาตร” ด้วย

ที่สำนักดนตรีบ้านบาตรแห่งนี้เอง ท่านครูหลวงประดิษฐไพเราะฯ ได้สร้างผลผลิตนักดนตรีไทยชั้นนำ ออกไปสู่สังคมมากมาย เช่น ครูมนตรี ตราโมท, ศ.ดร.อุทิศ นาคสวัสดิ์, ครูเผือด นักระนาด, ครูบุญยงค์ เกตุคง, ครูประสิทธิ์ ถาวร, ครูโองการ กลีบชื่น, ครูอุทัย แก้วละเอียด, ครูศิริ นักดนตรี, ครูเสนาะ หลวงสุนทร, ครูสุพจน์ โตสง่า, ครูบุญธรรม คงทรัพย์, ครูแสวง คล้ายทิม, ครูสมภพ ขำประเสริฐ, ครูกิ่ง พลอยเพชร ฯลฯ

ทายาทของท่านคือ คุณหญิงชิ้น ศิลปบรรเลง อาจารย์ประสิทธิ์ ศิลปบรรเลง และ อาจารย์ลัดดา สารตายน ก็ยังได้ร่วมกันก่อตั้งโรงเรียนดนตรีนาฏศิลป์ “ผกาวลี” เกิดคณะละครผกาวลีผลิตศิลปินรุ่นใหม่ในทางดนตรีสากลจึงเกิดขึ้นที่บ้านบาตรนี้ด้วยเช่นกัน เช่น สวลี ผกาพันธุ์, อดิเรก จันทร์เรือง ฯลฯ จนถึงดนตรีสังคีตสัมพันธ์ของครูเอื้อ สุนทรสนาน ก็มีบรรยากาศดนตรีจากสำนักดนตรีบ้านบาตรแห่งนี้ เพราะครูเอื้อสนิทกับอาจารย์ประสิทธิ์ ศิลปบรรเลงและได้แวะเวียนมาปรึกษาหารือและซ้อมเพลงกันเป็นประจำ

17-25

บริเวณที่ว่างซึ่งเคยเป็นบ้านหลวงประดิษฐ์ไพเราะที่บ้านบาตรในปัจจุบัน

คุณกฤษณา แสงไชย คนบ้านบาตรและมีบ้านพักอาศัยอยู่ไม่ไกลกัน เล่าถึงบ้านหลวงประดิษฐ์ไพเราะว่าตอนเป็นเด็ก พวกเราจะไปวิ่งเล่นในบริเวณบ้านท่านเสมอ บ้านของหลวงประดิษฐ์ไพเราะหรือ “บ้านศิลปบรรเลง” เป็นบ้านเรือนไทยหลายหลังอยู่ในพื้นที่เดียวกัน ทางเข้าบ้านเป็นประตูบานใหญ่ พอเข้าไป ฝั่งซ้ายจะเป็นบ้านทำหัวโขน ถัดไปเป็นห้องอัดเสียงสำหรับจัดรายการวิทยุของคุณสนั่น ศิลปบรรเลง ไม่ไกลกันเป็นศาลาหลังคาสูงสำหรับใช้เป็นสถานที่จัดงานไหว้ครู ซึ่งในแต่ละปีชาวบ้านจะมีโอกาสได้เห็นพิธีไหว้ครูที่ยิ่งใหญ่ บรรดาลูกศิษย์ที่เคารพนับถือหลวงประดิษฐ์ไพเราะจะกลับมารวมตัวกันที่นี่ ฝั่งขวาเป็นเรือนสูง ๒ ชั้น ใช้เป็นสตูดิโอฝึกซ้อม หรือถ่ายทำภาพยนตร์ คนบ้านบาตรจะได้เดินกระทบไหล่ดาราเสมอ ถัดไปเป็นเรือนของหลวงประดิษฐ์ไพเราะ คุณกฤษณาบอกกล่าวว่าคนบ้านบาตรเก่าๆ มักเล่ากันว่าหลังสงครามโลกครั้งที่ ๒ ในยุคจอมพล ป. พิบูลสงคราม มีการปรับเปลี่ยนนโยบายทางวัฒนธรรมที่ค่อนข้างเคร่งครัดจึงไม่ค่อยได้ยินเสียงปี่พาทย์มโหรีหรือวงอังกะลุงมากเท่ายุคก่อนๆ

เพราะที่มีนักแต่งเพลงเดินเข้าออกและเป็นเพื่อนกับทั้งคนในบ้านศิลปบรรเลงและคนบ้านบาตร จึงมีการแต่งเพลงรำวงของคนบ้านบาตรเอง เพราะอยู่ใกล้ชิดวงดนตรีและศิลปินใหญ่น้อยดังกล่าว

เพลงรำวง มหรสพยามสงคราม

รำวงบ้านบาตร เป็นการละเล่นสนุกของชาวบ้านที่เกิดขึ้นในระหว่างสงครามโลกครั้งที่ ๒ โดยนับตั้งแต่ พ.ศ. ๒๔๘๓ จนถึงราวปี พ.ศ. ๒๔๘๘ และการแพร่หลายของวัฒนธรรมรำวงตามนโยบายรัฐนิยม ที่ได้รับการสนับสนุนจากรัฐบาลจอมพล ป. พิบูลสงคราม ทำให้คนในชุมชนต่างๆ มารวมตัวกัน สนุกสนานร่ายรำไปตามเสียงเพลงในยามค่ำคืน เป็นความสุขในยามบ้านเมืองฝืดเคืองและผจญอันตรายจากการทิ้งระเบิดเพราะสภาพสงคราม

“รำวง” พัฒนามาจาก “รำโทน” ขับร้องรำกันระหว่างชายหญิง ในจังหวะดนตรีง่ายๆ เนื้อร้องรำวงมีความหลากหลาย ทั้งร้องเพื่อความบันเทิง ร้องเกี้ยวพาราสี ร้องเล่าเหตุการณ์สังคม ไปจนถึงการประยุกต์เพลงสำเนียงต่างๆ มาร้องเสริมเพื่อให้เกิดความสนุกสนาน

เพลงรำวงมีทั้งแต่งโดยรัฐมีเนื้อหาในแนวคิดนโยบายรัฐนิยม ส่วนของชาวบ้านชาวเมืองเนื้อหาสนุกสนาน ล้อเลียนขบขันบันเทิงเริงใจมากกว่า ท่ารำมีทั้งส่วนของอิสระ สามารถตีท่าได้ตามทักษะสร้างสรรค์และท่ารำที่เป็นประดิษฐกรรมใหม่ของครูบาอาจารย์จากกรมศิลปากรที่ดัดแปลงแม่ท่ารำนาฏศิลป์แบบเดิมมาเป็นท่ารำที่ง่ายขึ้น หรือต่อมาก็ประยุกต์ใช้ท่าเต้นรำของฝรั่งมาเป็นท่ารำวง

ศ.ดร.เจตนา นาควัชระ ผู้เป็นทายาทของนายถนอม นาควัชระ หรือ “ขุนชำนิขบวนสาส์น” ผู้มีบ้านเรือนอยู่แถบบ้านบาตร กล่าวถึงบรรยากาศรำวงบ้านบาตรในยามสงครามโลกครั้งที่ ๒ ว่าที่ลานกลางบ้านหลวงประดิษฐไพเราะฯ ชาวบ้านจะเข้าไปร่วมกันรำวงร้องเพลงอยู่ในพื้นที่บ้านอย่างเสรี ซึ่งสอดคล้องกับคำบอกเล่าของคนบ้านบาตรที่จดจำได้ถึงการรำวงและวัยเด็กที่เข้าไปเล่น และการใช้พื้นที่ในบ้านครูหลวงประดิษฐ์ไพเราะในการรำวง

การส่งเสริมวัฒนธรรมรำวงของภาครัฐในยุคจอมพลแปลก พิบูลสงคราม ส่งผลให้เกิดคณะรำวงที่เป็นทั้ง ของราชการและเอกชนมากมาย คณะรำวงราชการที่เป็นหลักที่สุดคือ “กรมโฆษณาการ” ต่อมาคือกรมประชาสัมพันธ์ มีหน่วยงานและครูเพลงที่ทำหน้าที่ผลิตเพลงรำวงอย่างจริงจัง อาทิ ครูเอื้อ สุนทรสนาน ครูแก้ว อัจฉริยกุล ครูธนิต ผลประเสริฐ ส่วนคณะเอกชนที่มีชื่อเสียงระดับแนวหน้ามีกันอยู่หลายคณะ เช่น คณะรำวงสามย่าน คณะรำวงไทยบ้านบาตร คณะไทยกิ่งเพชร คณะศิษย์พระเจน เป็นต้น

นอกจากนี้ก็มีผู้ที่พัฒนาแนวเพลงรำวงใหม่ๆ ไปเป็นเพลงลูกทุ่ง เกิดครูเพลงที่นำเอกลักษณ์ของรำวงมาใส่ไว้ในผลงานยุคเริ่มแรกของลูกทุ่ง อาทิ เบญจมินทร์ สุรพล สมบัติเจริญ ก่อนที่จะคลี่คลายไปเป็นเพลงลูกทุ่งอื่นๆ ในยุคต่อมา

ในกลุ่มคณะรำวงเอกชน ถือว่าคณะรำวงสามย่าน วัดหัวลำโพง โด่งดังที่สุด เพราะเป็นแหล่งรวมนักร้องเสียงดี นักประพันธ์เพลงเก่งๆ และมีโอกาสบันทึกแผ่นเสียงผลงานเพลงรำวงประจำคณะกับห้างกมลสุโกศล ตัวอย่างงานเพลงสะท้อนแนวคิดชาตินิยมที่สังคมไทยรู้จักในมุมกว้าง เช่น ศึกบางระจัน อยุธยาเมืองเก่าของเราแต่ก่อน ลูกชาวนา เป็นต้น นักร้องคณะรำวงสามย่านที่มีชื่อเสียง เช่น ประชุม พุ่มศิริ, เลิศ ประสมทรัพย์, สุรินทร์ ปิยานันท์ เป็นต้น

05

คู่แข่งสำคัญของคณะสามย่านในอดีต คือคณะรำวงบ้านบาตร ซึ่งมีการพัฒนาเพลงร้องของตนและลีลาการรำวงที่สวยงามไม่แพ้กัน หากแต่โอกาสในการเป็นที่รู้จักของผู้คนน้อยกว่าเนื่องด้วยไม่มีงานบันทึกแผ่นเสียงออกเผยแพร่อย่างคณะรำวงสามย่าน

ชาวบ้านบาตรยังจำได้ถึงบรรยากาศในช่วงสงครามและหลังสงครามว่ามีการร้องรำวงกันตลอดในช่วงเทศกาล ยิ่งเป็นช่วงสงกรานต์เราจะหยุดงานกันยาวกว่าปกติ ทุกเย็นที่บ้านบาตรจะมีรำวงในชุมชนที่ลานบ้านบาตรบริเวณศาลากลางบ้านในปัจจุบันนี้ ผู้หญิง ผู้ชายมาจีบกัน ฝ่ายชายเอาพวงมาลัยไปคล้องฝ่ายหญิง พอรำเสร็จเขาก็เอาผู้หญิงไปส่งที่เก้าอี้ ล่ำลากัน ยกมือไหว้ให้กันและกัน เพลงส่วนใหญ่เป็นเพลงที่สอนผู้หญิง สอนเด็ก สอนมารยาทในการรำวง เป็นต้น

ปัจจุบัน ชุมชนบ้านบาตรรื้อฟื้นวัฒนธรรมรำวงขึ้นมาใหม่ เท่าที่จะจดจำและมีการบันทึกเนื้อเพลงไว้หลายสิบเพลง มีการออกแสดงรำวงสาธิตตามงานเทศกาลต่างๆ สม่ำเสมอ ชื่อรำวงคณะ “บ้านบาตรสามัคคี”

ตัวอย่างเพลงรำวงบ้านบาตร
บ้านบาตรสามัคคี (ทำนองสโลว์)
บ้านบาตรสามัคคี เป็นนามที่พวกเราสร้างไว้
ร่วมแรงปรับปรุงแก้ไข ผูกน้ำใจไมตรี ดังพี่น้องกัน
เพื่อปลูกความรื่นเริง ร่วมบันเทิงในความสัมพันธ์
ผิดพลาดอภัยให้กัน จิตเรามั่นอยู่ทุกเวลา
สิ่งเดียวที่เรามุ่งหวัง เพื่อประทังชื่อบ้านบาตรวัฒนา
** สามัคคีๆ บ้านบาตรรำวงๆ ร่วมใจมันคงๆ สร้างรำวงไทยๆ
เพื่อหวังๆ สำราญสุขใจๆ น้อมนำฤทัยๆ
พร้อมกัน (ร่วมใจสามัคคี ร่วมรักกันเหมือนน้องพี่ ผูกสัมพันธไมตรี ร่าเริงยินดี แสนเพลิน)
ร่วมกันๆ คิดการดำเนินๆ เพื่อความเพลิดเพลินๆ เราสู้อดทนๆ
พวกเราๆ ชาวบ้านบาตรทุกคนๆ ถึงจะยากจนๆ
พร้อมกัน (แต่เพียรพยายาม แก้ไขปรับปรุงวงรำ
ชาวคณะให้นาม รำวงบ้านบาตรสามัคคี
(** ทวนสามัคคี)

นารีงาม (ทำนองสโลว์)
นารีงามเมื่อยามรุ่นดรุณี ย่อมเป็นที่หมายปองของชาย
ฉะนั้น ควรรักนวลสงวนกาย ถนอมเกียรติไว้อย่าให้มีราคี
เปรียบบุปผา คราแรกผลิแย้ม งามแฉล้มสอดแซมกลิ่นสี
เป็นที่หมายปองของภุมรี เช่นนารีนั้นชายมุ่งหมายตอม
สาวงาม หากมีราคี เปรียบมาลีที่ไร้กลิ่นหอม
ใครเล่าจักเฝ้าเด็ดดอม มีแต่จักตอมอับเฉาโรยรา
บัวลอย เหนือแผ่นผืนน้ำ มิยอมต่ำใต้ผืนคงคา
แม้เพียงแต่ชาติพฤกษา ยังรักค่าบุปผามาลี
หญิงควรฟัง แล้วจดจำ รักนวลนาง รักเกียรตินารี
ละชั่ว สร้างสรรค์ความดี เทิดเกียรตินารี เยี่ยงดอกบัวงาม

มนต์นาง (ทำนอง สวิง) พี่จุก อำพล ทะนานทอง
มนต์นางใดเล่าหนา ร้าแรงยิ่งกว่า คาถานางใด
มนต์นางนั้นซึ้งใจ เสน่ห์นางใดเร้าใจข้า
หากเป็นเนื้อคู่สมสู่กันมา มนต์นั้นตรึงตรา สลักอุราเสียนี่กระไร
บุญบางใด บุญบางใด จึงได้มาพบกัน
มนต์เอย มนต์สวาทจิตใจแทบขาด นิราศจากขวัญตา
มนต์นางร้ายแรงยิ่งกว่า มนต์ตราคาถานางใด
สิ้นความรัก สุดหักอาลัย ฝากรอยไว้เป็นมนต์สวาทเอย
นางเอย ร้อยดวงใจ แม้ชายใด หลงรูป นางเป็นต้องช้ำ
แม่นางร้อยพิศวาส แสนอนาถร้อยเล่ห์มายา
อย่าหลงเชื่อวาจา ชานั้นหนาร้อยดวงใจ (๒ รอบ)

สาวงามบ้านไกล (ทำนองสโลว์)
สาวงามบ้านไกล เธออยู่ไหน สวยงามวิไลงามตา
เพลินพิศวงหน้า สาวรุ่นงามตา สวยบาดหัวใจ
ดุจดังหงส์เหิน ฉันเดินเข้าใกล้ และหวังใจไว้ว่าจะได้จดจำ
ตาดำขำคม ทั่วร่างเหมาะสม น่านิยมใจแท้
พาใจฉันปรวนแปร ฉันได้แต่ชะแง้ แต่เธอไม่แลเหลียวเลย
ฉันพร่ำฝากถ้อยคำ ไยทำเฉยเมย
ขออย่าได้ละเลย คำที่พี่เอ่ย ไม่เคยหลอกลวง

ภาพเมรุปูนวัดสระเกศฯ ที่มา : “วัดสระเกศฯ 438,” ภ.002.2/4, จดหมายเหตุแห่งชาติ
การก่อสร้างหอส่งน้ำประปาของพระนครที่มา : ภาพส่วนบุคคลของบาทหลวงมิเชล ดิดิเออร์ (Michel Didier) หลานของ เฟอร์นาน ดิดิเออร์ (Fernand Didier) นายช่างชาวฝรั่งเศสผู้สร้างการประปาของกรุงเทพฯ

สัมภาษณ์
กฤษณา แสงไชย, ๑๐ มีนาคม ๒๕๕๘
กรมไปรสนีย์กรุงเทพฯ. สารบาญชีส่วนที่ ๓ และ ๔ ราษฎรในจังหวัด คูแลคลอง ลำปะโดง สำหรับเจ้าพนักงานกรมไปรสนีย์กรุงเทพ ตั้งแต่จำนวนปีมะแม เบญจศก จุลศักราช ๑๒๔๕
จิตตวดี จิตรพงศ์, ดร. ม.ล. ความสะอาดของพระนคร : การเมืองเรื่องวิถีปลงศพในสมัยรัชกาลที่ห้า หน้าจั่ว ฉบับที่ ๑๐ พ.ศ. ๒๕๕๖
“บาญชีคนตาย,” จ.ศ. 1214–1215, จดหมายเหตุรัชกาลที่ ๔, ร.4 จ.ศ.๑๒๑๔–๑๒๑๕ เลขที่ ๑๑๕, สำนักหอสมุดแห่งชาติ ใน นนทพร อยู่มั่งมี. การจัดการพื้นที่เมืองในกรุงเทพมหานคร: กรณีป่าช้าและพิธีศพสมัยรัชกาลที่ ๕ สงขลานครินทร์ ฉบับสังคมศาสตร์และมนุษยศาสตร์ ปีที่ ๒๐ ฉบับที่ ๓ (กค.- กย. ๒๕๕๗)
วิภา กจิ สัมนางกูร. แนวทางการฟื้นฟูย่านประวัติศาสตร์เขตชั้นในของกรุงเทพมหานครกรณีศึกษาย่านแม้นศรี. การศึกษาตามหลัก สูตรการผังเมืองมหาบัณฑิต คณะสถาปัตยกรรมศาสตร์และการผังเมือง มหาวิทยาลัย ธรรมศาสตร์ พ.ศ. ๒๕๕๑
พานิชพล มงคลเจริญ. http://krooair.blogspot.com/2011/05/blog-post.html (๑๐ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๙) อ้างใน อานันท์ นาคคง. เพลงดีที่บ้านบาตร ตอน “รำวงบ้านบาตร” และ อานันท์ นาคคง. เพลงครูคู่สมัย ร้อยกรองทำนองไทย ร้อยสายใยวัฒนธรรม ร้อยสามสิบปีท่านครูหลวงประดิษฐไพเราะ (ศร ศิลปบรรเลง)
“กรมช่างสิบหมู่” http://www.changsipmu.com/thaiart_p05.html (๑๐ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๙)