วลัยลักษณ์ ทรงศิริ
เอกสารเพื่อประกอบการเสวนาสาธารณะของคนย่านเก่าเมืองกรุงเทพฯ ที่ป้อมมหากาฬ เรื่อง “ปิดฉาก” งานช่างชั้นครูที่ตรอกบ้านพาน วันอาทิตย์ที่ ๔ ตุลาคม ๒๕๕๘
หากเดินเท้าผ่านหน้า “ตรอกบ้านพานถม” ที่อยู่ฝั่งตรงข้ามวัดบวรนิเวศวิหาร เป็นซอยกว้างพอรถเข้าออกได้เชื่อมกับสะพานอุษาสวัสดิ์ (พ.ศ.๒๕๐๔) ข้ามคลองบางลำพูแล้วต่อกับซอยต่างๆ ทางแถบวัดตรีทศเทพได้ จะเห็นป้ายข้อมูลการท่องเที่ยวสีน้ำตาลอยู่ด้านหน้า คงทำโดยกรุงเทพมหานคร เขียนทั้งภาษาไทยและภาษาอังกฤษว่า
“เป็นชื่อของหมู่บ้านแห่งหนึ่ง เกิดขึ้นในสมัยเริ่มสร้างกรุงรัตนโกสินทร์ ที่รวมกันเข้าเป็นกลุ่ม จัดสร้างหมู่บ้านของตนเองขึ้น โดยประกอบอาชีพทำ เครื่องถม จึงมีชื่อเรียกว่าบ้านพานถม กรรมวิธีการทำเครื่องถม ทำโดยใช้ผงยาดำผสมน้ำประสานทองถมลงบนลวดลายที่แกะสลักบนภาชนะหรือเครื่องประดับ แล้วขัดผิวให้เงางาม ในสมัย สมเด็จพระนารายณ์มหาราช ได้มีการส่งเครื่องถมเป็นเครื่องราชบรรณาการเพื่อถวายแด่ พระเจ้าหลุยส์ที่ ๑๔ ของฝรั่งเศส เพื่อแสดงให้เห็นว่าเครื่องถมเป็นของสำหรับชนชั้นสูง ในปัจจุบันยังคงมีแหล่งทำเครื่องถมพื้นบ้านที่สำคัญและสืบเนื่องมาอย่างยาวนาน และยังคงรักษากระบวนการทำเครื่องถมแบบดั้งเดิมได้อย่างครบถ้วน ซึ่งเหลืออยู่เพียงแห่งเดียวเท่านั้นคือ ห้างไทยนคร ซึ่งตั้งอยู่เลขที่ ๗๔ ถนนประชาธิปไตย เชิงสะพานเฉลิมวันชาติ”
ป้ายนี้ติดตั้งอยู่หลายปีแล้ว ถ้าไม่มีการเดินเท้าศึกษาถามไถ่คนในย่านเก่าเมืองหลวงของเราแห่งนี้เป็นเรื่องเป็นราว ก็คงเข้าใจว่าสิ่งเหล่านี้คือข้อเท็จจริงของตรอกหรือซอยดังกล่าว ในความหมายที่เป็นหมู่บ้านทำเครื่องถม งานหัตกรรมที่คนไทยรู้จักกันดี และเป็นงานฝีมือขึ้นชื่อของเมืองนครศรีธรรมราชที่เรียกว่า “ถมนคร”
ซึ่งไม่ใช่ข้อมูลที่ถูกต้องทั้งสถานที่และความเป็นย่านหัตถกรรมงานฝีมือ
คำว่า “บ้านพานถม” ถูกใช้มาตั้งแต่ครั้งแรกๆ ที่มีการบันทึกถึงสถานที่ หมู่บ้านหรือชุมชนนอกคลองเมืองหรือคลองบางลำพู เพราะพบทั้งในแผนที่เก่าตั้งแต่ครั้งรัชกาลที่ ๕ และเอกสารเก่าหลายแห่ง
แต่ในเอกสารอีกหลายแห่งก็เรียกเพียง “บ้านพาน” ซึ่งต่อเนื่องกับ “บ้านหล่อ” และสอดคล้องกับคำบอกเล่าของคนดั้งเดิมในพื้นที่ซึ่งเรียกว่า “บ้านพาน” ไม่ใช่ “บ้านพานถม” เช่นกัน
ตรอกบ้านพาน วัดตรีฯ
บริเวณที่เรียกว่า “ตรอกบ้านพาน วัดตรี” ในเอกสาร “สารบาญชี ส่วนที่ ๒ คือราษฎรในจังหวัด ถนนและตรอก จ.ศ. ๑๒๔๕ เล่มที่ ๒” เอกสารของกรมไปรษณีย์ กรุงเทพมหานคร แม้ไม่มีรายละเอียดว่าอยู่ ณ บริเวณใดอย่างแน่ชัด แต่พอตีความได้ว่า บ้านพานนั้นอยู่ใกล้กับวัดตรีทศเทพ บริเวณเหนือฝั่งคลองเมืองหรือคลองบางลำพู นอกพระนคร และมีรายละเอียดของบ้านเรือนผู้คนซึ่งคงเป็นเพียงส่วนหนึ่งที่อยู่อาศัยที่บ้านพานคือ
นายติดขึ้นหลวงสุวรรณอยู่เรือนฝากระดาน, นายกล่ำเป็นที่จางวางในพระเจ้าดิศวรกุมารอยู่เรือนฝากระดาน, หลวงสุวันภักดีว่ากรมช่างทองอยู่เรือนฝากระดาน, นายโตเป็นที่ขุนวิเสศอักษร ขึ้นพระยามลตรี เรือนฝากระดาน, นายพยอม บุตรนายเอี่ยมอยู่เรือนฝากระดานเป็นช่างทำพานเงิน, อำแดงแย้ม หม้าย เรือนฝากระดาน เป็นช่างสลักภานเงิน, เสมียนตรากรมมหาดไทย อยู่เรือนฝากระดาน, นายพุน เป็นมหาดเล็กวังหน้า เวนหลวง อยู่เรือนฝากระดาน, นายโตเพลง บุตรจ่าเรต อยู่เรือนฝากระดาน, นายโห้ บุตรนายพึ่ง อยู่เรือนฝากระดาน เป็นช่างสลักภานเงิน, นายควน เป็นเสมียนเจ้าคุณกรมท่า เรือนฝากระดาน
จะเห็นว่ากลุ่มชาวบ้านพานในครั้งรัชกาลพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว (พ.ศ. ๒๔๒๖) นอกจากเป็น “ช่าง” สลักพานเงินแล้วก็ยังมีบ้านข้าราชการอีกหลายท่าน เช่น ว่ากรมช่างทองหลวงก็มี เสมียนตรา มหาดเล็ก จางวาง และส่วนใหญ่อยู่เรือนฝากระดานแทบทั้งสิ้นถือว่าเป็นกลุ่มบ้านผู้มีฐานะและสถานภาพทางสังคมไม่ใช่น้อย บ้านพานเป็นกลุ่มบ้านช่างเช่นเดียวกับบ้านช่างอื่นๆ ในละแวกรอบกรุงฯ เช่น บ้านหล่อ บ้านบาตร บ้านบุ บ้านทองคำเปลว บ้านดอกไม้ บ้านหม้อ บ้านช่างพลอย เป็นต้น กลุ่มบ้านช่างต่างๆ เหล่านี้ถือเป็นองค์ประกอบสำคัญของบ้านเมืองแบบเก่าที่มีราชสำนักเป็นศูนย์กลาง มีวัดเป็นศูนย์กลางของชุมชนย่อยๆ มีกลุ่มบ้านหรือหมู่บ้านผู้เชี่ยวชาญงานช่างและการผลิตเฉพาะรูปแบบ มีตลาดทั้งตลาดบกและตลาดน้ำ ส่วนหมู่บ้านทำเกษตรกรรมอยู่นอกเมืองออกไป
บริเวณระหว่างวัดตรีทศเทพและวัดปรินายกหรือวัดพรหมสุรินทร์นอกกำแพงพระนครฝั่งนอกคลองเมืองหรือคลองบางลำพูคือย่านกลุ่มบ้านช่าง ๒ กลุ่มใหญ่คือ “บ้านพาน” และ “บ้านหล่อ” พื้นที่ต่อจากวัดตรีทศเทพคือตรอกบ้านพาน ถัดมาก่อนถึงวัดพรหมสุรินทร์มีลำน้ำสายสั้นๆ แยกออกจากคลองเมือง เชื่อมต่อกับแนวร่องสวน (สวนมะม่วงโปร่ง ในแผนที่ตั้งแต่เมื่อ พ.ศ. ๒๔๔๐, ๒๔๕๐ จนถึง พ.ศ. ๒๔๗๕ ก็ยังคงมีพื้นที่เหล่านี้อยู่) คลองนี้เรียกว่า “คลองบ้านหล่อ” อยู่ประชิดกับวัดพรหมสุรินทร์หรือวัดปรินายก ในเอกสารสารบาญชี ส่วนที่ ๔ คือราษฎรในจังหวัด คูแลคลองลำปะโดง สำหรับเจ้าพนักงานกรมไปรษณีย์กรุงเทพมหานคร จุลศักราช ๑๒๔๕ มีผู้อยู่อาศัยที่บันทึกไว้ทั้งเป็นข้าราชการชั้นหมื่น ขุน หลวง พระ หญิงสาว หญิงหม้าย ชายหนุ่ม บ้านเรือนมีทั้งฝากระดาน ฝากระแชงอ่อน โรงแตะ คละกันไป มีบ้านที่หล่อเต้าปูนขายหลายบ้าน บ้านช่างกลึง และเป็นเลขวัดอยู่หลายวัด รวมทั้งเป็นกลุ่มบ้านช่างทำมุกประดับเป็นกลุ่มใหญ่ และผู้คนส่วนใหญ่แถบนี้ขึ้นอยู่กับเจ้าพระยามหินทรศักดิ์ธำรง (เพ็ง เพ็ญกุล) เจ้ากรมพระสุรัสวดี ซึ่งมีหน้าที่ควบคุมการสักเลข จัดระเบียบกำลังไพร่พล
เต้าปูนใส่ปูนกินกับหมากน่าจะเป็นโลหะผสมพวกทองเหลือง จึงต้องใช้พื้นที่ชานบ้านเป็นโรงหล่อขนาดเล็กๆ และอยู่ใกล้แหล่งน้ำเช่นลำคลองหรือลำประโดง และมีข้อน่าสังเกตว่าจำนวนบ้านเรือนที่หล่อเต้าปูนขายริมคลองบ้านหล่อมีมากและหนาแน่นกว่าทางฝั่งตรอกบ้านพาน ทุกวันนี้คลองบ้านหล่อน่าจะถูกลบไปเสียสิ้นแล้วรวมทั้งชุมชนบ้านหล่อแต่เดิมที่ไม่หลงเหลือร่องรอยของผู้คนใดๆ ยังปรากฏแต่ชื่อซอยบ้านหล่อไว้ และตรงนี้น่าจะเป็นความสับสนของหน่วยงานที่ตั้งชื่อตรอกซอยมาแต่เก่า เพราะผู้อยู่อาศัยใน “ซอยบ้านหล่อ” ซึ่งเคยชื่อ “ตรอกบ้านพาน” อายุ ๘๔ ปีแล้ว (ละออศรี (รัชตะศิลปิน) พิพิธภัณฑ์) เล่าว่า คุณพ่อเป็นผู้บอกว่าท้ายซอยมีทางเชื่อมกับบ้านหล่อที่เคยหล่อเต้าปูน ดังนั้นผู้คนร่วมสมัยแม้จะอายุแปดสิบกว่าปีแล้วก็ไม่เคยเห็นชุมชนหรือกลุ่มบ้านช่างหล่อเต้าปูนทองเหลืองแต่อย่างใด บ้านหล่อและคลองบ้านหล่อคงสาบสูญหายไปนานมากแล้ว
ตามแผนที่เมื่อราว พ.ศ. ๒๔๗๕ ตรอกบ้านพานอยู่ตรงข้ามวัดตรีทศเทพ ปัจจุบันคือซอยบ้านหล่อ ท้ายสุดของตรอกบ้านพานมีแนวลำคลองที่เป็นสาขาของคลองบ้านหล่อตัดผ่าน ปัจจุบันเป็นทางขนาดเล็กตัดขวาง มีถนนลำลองขนาดเล็กกว่ายาวไปจนเกือบถึงชุมชนท้ายตรอกที่มีบ้านเรือนอยู่จำนวนหนึ่ง ก่อนจะเป็นพื้นที่ใกล้กับถนนราชดำเนินนอกเสมอกับแนวเขตที่ถูกเวนริมวัดปรินายก ซึ่งสร้างเป็นอาคารริมถนนกระทรวงเกษตรและสหกรณ์เดิม
“วัดตรีทศเทพฯ” สร้างโดย พระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมหมื่นวิษณุนาถนิภาธร (พระองค์เจ้าสุประดิษฐ์ – ต้นราชสกุลสุประดิษฐ์ ณ อยุธยา) พระราชโอรสในพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ด้านหลังวังของพระองค์ที่อยู่ริมคลองบางลำพู แต่หลังจากนั้นก็สิ้นพระชนม์เสียก่อนในปี พ.ศ. ๒๔๐๕ พระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมหมื่นมเหศวรศิววิลาส (พระองค์เจ้านพวงส์ – ต้นราชสกุลนพวงศ์ ณ อยุธยา) เป็นพระเชษฐาร่วมพระมารดาเดียวกันคือ เจ้าจอมมารดาน้อย เจ้าจอมองค์แรกในรัชกาลที่ ๔ ทรงสร้างต่อแต่ยังไม่ทันเสร็จก็สิ้นพระชนมอีกพระองค์เมื่อปี พ.ศ. ๒๔๑๐ พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าฯ ทรงสร้างเพิ่มเติมจนเสร็จ คำว่าตรีทศเทพคงมีความหมายถึงการสร้างวัดร่วมกันของทั้งสามพระองค์
รอบวัดตรีฯ ขุดคูน้ำล้อมรอบและเชื่อมต่อกับคลองบางลำพู โดยวังพระองค์เจ้าสุประดิษฐ์ก็อยู่ริมคูขุดดังกล่าว ทุกวันนี้คูน้ำล้อมรอบวัดกลายเป็นถนนไปเสียหมดแล้ว
ส่วน “วัดพรหมสุรินทร์” สร้างเมื่อต้นรัชกาลพระพุทธเลิศหล้านภาลัย ราว พ.ศ. ๒๓๕๒ – ๒๓๕๔ ผู้สร้างคือพระพรหมสุรินทร์ ต่อมาได้เลื่อนบรรดาศักด์ิเป็นพระยาราชโยธา, พระยาเกษตรรักษา และเจ้าพระยาบดินทร์เดชา (สิงห์ สิงหเสนี) ตามลำดับ ท่านเป็นแม่ทัพคนสำคัญในสมัยรัชกาลพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าฯ วัดนี้อาณาเขตกว้างขวางใหญ่โตมากเมื่อแรกสร้าง ต่อมาท่านเจ้าพระยาฯ ถึงแก่อสัญกรรมใน พ.ศ. ๒๓๙๒ วัดจึงขาดผู้อุปถัมภ์ทรุดโทรมกว่า ๕๐ ปี วัดนี้มีอาณาบริเวณด้านหนึ่งติดไปถึงริมถนนนครสวรรค์ทีเดียว และใน พ.ศ. ๒๔๔๒ เมื่อพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงตัดถนนราชดำเนินนอกผ่านวัดพรหมสุรินทร์ไปมากกว่าครึ่ง ต่อมาจึงสร้างศาสนสถานถวายให้ใหม่รวมทั้งพระอุโบสถและมีชื่อใหม่ว่า “วัดปรินายกวรวิหาร” เพื่อเป็นเกียรติแก่ข้าราชการท่านสำคัญและผู้สร้างวัดคือ เจ้าพระยาบดินทร์เดชา
ตามแนวตรอกบ้านพานที่อยู่ฝั่งตรงข้ามกับวัดตรีทศเทพ มีตรอกเล็กๆ เลี้ยวไปจนจรดแนวคลองบางลำภูในแนวขวาง ในแผนที่เมื่อ พ.ศ. ๒๔๕๐ เขียนว่า หมู่บ้านพานถมและตรอกบ้านพานถม ส่วนพื้นที่ริมคลองทั้งฝั่งนอกและในเมืองมีโรงเลื่อยอยู่หลายแห่ง เอกสารเก่ามีทั้งที่เรียกชื่อตรอกบ้านพานถมและตรอกบ้านพาน บริเวณทั้งสองพื้นที่นี้ถูกกำหนดให้เป็นเขตการปกครองแบบตำบลมาตั้งแต่ในครั้งปรับเปลี่ยนรูปแบบการปกครองเป็นมณฑลเทศาภิบาลและคงใช้ อำเภอ ตำบล และหมู่บ้านในสมัยรัชกาลที่ ๕ เมื่อราว พ.ศ. ๒๔๓๕ แล้ว จึงมีข้อมูลปรากฏเป็นท้องที่ตำบลบ้านพานถม และตำบลบ้านหล่อ
แผนที่เมื่อราว พ.ศ. ๒๔๔๐ บริเวณระหว่างวัดตรีทศเทพและวัดปรินายกหรือ วัดพรหมสุรินทร์นอกกำแพงพระนคร ฝั่งนอกคลองเมืองหรือคลองบางลำพูคือ ย่านกลุ่มบ้านช่าง ๒ กลุ่มใหญ่คือ “บ้านพาน” และ “บ้านหล่อ” พื้นที่ต่อจาก วัดตรีทศเทพคือตรอก บ้านพาน ถัดมาก่อนถึง วัดพรหมสุรินทร์ มีลำน้ำ สายสั้นๆ แยกออกจาก คลองบางลำพูเชื่อมต่อกับแนวร่องสวน
ริมคลองฝั่งในเมืองตรงข้ามกับหมู่บ้านพานถมหรือเยื้องเล็กน้อย นอกจากแนวกำแพงเมืองที่มีส่วนโค้งเล็กน้อย บริเวณนี้คือ “ป้อมมหาปราบ” และมีบ้านเรือนอยู่รายล้อม เหนือขึ้นไปทางฝั่งตะวันตกเป็นโรงเลื่อยตลอดไปจนถึงแถบตลาดบางลำพู แนวกำแพงมีเรื่อยไปและเปิดเป็น “ประตูช่องกุด” ไว้แห่งหนึ่งในระหว่างโรงเลื่อย มีสะพานข้ามคลองเมืองหรือคลองบางลำพู เพื่อไว้สำหรับคนทางบ้านพานและริมฝั่งนอกคลองเมืองเดินข้ามเข้ามาได้ ปัจจุบันสะพานนี้ชื่อสะพานพระยาราชสัมภารากร (ชม ไกรฤกษ์) อุทิศสร้างเมื่อ พ.ศ. ๒๔๖๙ สะพานนี้คงไม่ได้สร้างขึ้นเป็นครั้งแรกราวปีนั้น แต่ได้สร้างเพื่อใช้ข้ามสำหรับชาวบ้านชาวเมืองเดินทางเข้าออกผ่านประตูช่องกุดที่อยู่ทางแถบนี้มาก่อนหน้านี้นานแล้ว ทุกวันนี้สะพานโค้งพระยาราชสัมภารากรยังปรากฏอยู่ แต่กำแพงเมืองและประตูช่องกุดถูกรื้อออกรวมทั้งป้อมมหาปราบด้วย (ในแผนที่ พ.ศ. ๒๔๗๕ ทั้งประตูช่องกุดและป้อมมหาปราบยังปรากฏอยู่)
เมื่อมีการก่อสร้างอนุสาวรีย์ประชาธิปไตยและตัดถนนต่อจาก “ถนนเทวียุรยาต” ซึ่งตัดขึ้นตั้งแต่ครั้งรัชกาลที่ ๕ และสร้างสะพานเฉลิมวันชาติข้ามคลองบางลำพู เมื่อ พ.ศ. ๒๔๘๒ สมัยจอมพล ป. พิบูลสงคราม โดยเรียกถนนที่กำลังตัดนี้ในภายหลังว่า “ถนนประชาธิปไตย” ถนนนี้ต้องตัดผ่านกลางย่านบ้านพาน เลียบแนวกำแพงวัดตรีทศเทพผ่านถนนวิสุทธิกษัตริย์ไปยังแถบพระราชวังดุสิต
แผนที่เมื่อราว พ.ศ. ๒๔๕๐ ในครั้งรัชกาลที่ ๕ แสดงบริเวณพื้นที่ทั้งนอกเมืองและในเมือง โดยมีคลองบางลำพูคั่นกลาง จะเห็นหมู่บ้านพานถม ตรอกบ้านพานถมและที่ดินของเจ้าจอมมารดา (ชุ่ม) ใกล้กับสะพานข้ามคลองและสองฝั่งคลองบางลำพูบริเวณนี้มีโรงเลื่อยอยู่หลายแห่ง
นาวาเอกอิสสระ รัชตะศิลปิน ซึ่งเกิดเมื่อ พ.ศ. ๒๔๗๒ เล่าไว้ว่า ย่านนี้มีข้าราชการชั้นผู้ใหญ่ท่านหนึ่งถูกถนนตัดผ่านบ้านท่าน ต้องเวนคืนในช่วงนั้นคือบ้านของ “พระยาพิพิธโภคัยสวรรค์” (เชฐ หังสสูต) อดีตอธิบดีกรมกษาปณ์สิทธิการ กระทรวงพระคลังมหาสมบัติ เล่ากันว่าคนที่ผ่านไปมาจะได้ยินเสียงสวดมนต์ดังมาจากบ้านท่านเป็นประจำ และภรรยาของท่านคือคุณหญิงจันทร์ นามสกุลเดิมไกรฤกษ์เป็นพี่สาวของพระยาราชสัมภารากรและเจ้าจอมมารดาชุ่มในรัชกาลที่ ๕ ซึ่งบริเวณย่านริมคลองบางลำภูบริเวณสะพานโค้งฝั่งนอกเมืองนี้ เป็นบ้านและที่ดินของเจ้าจอมมารดาชุ่มในตระกูลไกรฤกษ์
สะพานที่ยังคงเหลือเพียงป้ายกลางสะพานและภาพพระยาราชสัมภารากร (ชม ไกรฤกษ์)
ทุกวันนี้ความทรงจำอย่างเดียวที่ยังหลงเหลืออยู่ในย่านบ้านพานก็คือ ชื่อซอยใกล้กับเชิงสะพานเฉลิมวันชาติ “ซอยพิพิธโภคัย” และสะพานพระยาราชสัมภารากร เท่านั้น
การตัดถนนประชาธิปไตยดังกล่าว ทำให้โรงเลื่อยริมคลองบางลำภูและโรงต่อเรือกระแชงหรือเรือเอี้ยมจุ๊นจำนวนหนึ่งถูกย้ายออกไป โรงเลื่อยขนาดเล็กก็ปิดตัวตามไปด้วยหลายแห่งจนทำให้พื้นที่คลองบางลำภูกว้างขึ้นกว่าเดิม ชาวบ้านละแวกนี้เริ่มเปลี่ยนการเดินทางเข้าออกเมืองผ่านสะพานพระยาราชสัมภารากรและประตูช่องกุดมาเป็นการใช้ถนนประชาธิปไตย มีรถรางสายรองเมือง รถเมย์ขาวสายบางลำพู-ประตูน้ำ รถเจ๊กหรือรถลาก รถสามล้อ และยังน่าจะเป็นเหตุให้แบ่งพื้นที่ย่านบ้านพานออกเป็นสองฟากถนน และทั้งสองฝั่งนั้นอยู่ในเขตการปกครองแบบมีขอบเขตที่เรียกว่าตำบลบ้านพานถมหรือแขวงบ้านพานถมในเวลาต่อมา
ด้วยเหตุเหล่านี้ ป้ายข้อมูลเพื่อการท่องเที่ยวของกรุงเทพมหานครนั้น จึงตั้งอยู่ในพื้นที่ซึ่งผิดไปจากความเป็นจริง กรณีตำแหน่งของตรอกบ้านพานที่มีกลุ่มบ้านพานเงินมากทีเดียว และรวมทั้งรายละเอียดของวิธีผลิตที่แตกต่างจากการทำเครื่องถมที่แสดงไว้บนป้ายข้อมูลเช่นกัน
“ช่างสลักพานเงิน”
ในข้อมูลจากกรมไปรษณีย์ในสมัยรัชกาลที่ ๕ ระบุกลุ่มบ้านในละแวกบ้านพานว่าเป็น “ช่างสลักพานเงิน” ตามตรอกบ้านพานมีซอกซอยเวียนไปออกริมคลองบางลำพูได้ มีคุณพระคุณหลวงทำพานทำขันเงินอีกหลายบ้าน
บ้านในซอยบ้านหล่อของขุนอดุลย์โภคทรัพย์ (รวย รัชตะศิลปิน)
ตระกูล “รัชตะศิลปิน” ซึ่งแปลความหมายได้ว่าเป็นช่างเงิน สืบมาจากต้นตระกูลที่มีวิชาช่างเครื่อเงินที่เน้นการทำพานเงินดุนลาย นาวาเอกอิสสระ รัชตะศิลปิน ผู้ที่เกิดเมื่อ พ.ศ. ๒๔๗๒ และคุณละออศรี รัชตะศิลปิน ที่เกิดเมื่อ พ.ศ. ๒๔๗๔ พี่น้องในตระกูลทำพานเงิน เป็นบุตรหลวงอนุการรัชฎ์พัฒน์ (อู๋ รัชตะศิลปิน) ข้าราชการกรมพระคลังข้างที่ ในตรอกหรือซอยบ้านหล่อยังมีบ้านพี่ชายคือบ้านขุนอดุลย์โภคทรัพย์ (รวย รัชตะศิลปิน) ถือว่าเป็นตระกูลใหญ่ในตรอกบ้านพานทีเดียว โดยมีต้นตระกูลทางฝั่งพ่อและปู่เป็นช่างเงินซึ่งสืบเชื้อสายมาจากครัวชาวลาวเวียงจันทน์ที่มาพร้อมเจ้าอนุวงศ์ ตลอดจนทางตระกูลฝ่ายภรรยาที่อยู่บ้านใกล้เรือนเคียงและเป็นเคือญาติก็ทำพานเงินด้วย
ละออศรี (รัชตะศิลปิน) พิพิธภัณฑ์
โดยเฉพาะ คุณละออศรี รัชตะศิลปิน ที่ยังอยู่อาศัยในบริเวณบ้านเดิมครั้งเมื่อยังเป็นบ้านทำพานเล่าว่า ขุนนางข้าราชการที่มีทุนทรัพย์ก็มักเปิดบ้านเป็น “นายเตา” ผลิตพานเงินกันที่ลานบ้านหรือใต้ถุนบ้าน ส่วนคนที่อาศัยอยู่ในละแวกใกล้เคียงก็จะเป็นคนงานหรือเป็นช่างที่มีความสามารถพิเศษทำเฉพาะงานต่างๆ ซึ่งก็มักจะแบ่งเป็น ๒ กลุ่ม คือคนงานตีใช้แรงขึ้นรูปพาน ซึ่งเรียกว่า “ช่างกลึง” ในช่วงที่มีงานมากๆ จะมีบ้านละราว ๑๐ คน และช่างดุนหรือตอกลายลงบนผิวภาชนะเป็น “ช่างสลัก” ซึ่งต้องใช้ฝีมือความชำนาญและไม่ต้องใช้แรงงานมากเท่าช่างตีขึ้นรูป คนงานส่วนใหญ่เป็นคนในละแวกโดยรอบ ตรอกเดียวกัน ซอยเดียวกัน มาหัดแบบไม่หวงวิชา หลายคนมาพักกินนอนที่บ้านนายเตา ปลูกบ้านอยู่ท้ายบ้านก็มีและอยู่ดูแลกันต่อมาก็มาก บางคนก็สามารถเปิดเป็นนายเตาด้วยตนเอง รับงานผลิตเองก็มี
ขันเงินฝีมือคนรุ่นเก่าแห่งตรอกบ้านพานอายุมากกว่าหนึ่งร้อยปีขึ้นไป
สมบัติของคุณละออศรี (รัชตะศิลปิน) พิพิธภัณฑ์
งานฝีมือของคุณปู่คุณละออศรีซึ่งเป็นตระกูลช่างเงินโดยแท้ ถ่ายทอดความทรงจำว่า งานเครื่องเงินชุดหนึ่งทำให้กับพระมหาราชครูปโรหิตาจารย์หรือคุณละออศรีเรียกว่าพระราชครูพราหมณ์ ซึ่งมีบ้านอยู่ริมฝั่งคลองบางลำภูใกล้กับบ้านพาน และมีเอกสารบันทึกถึงตำแหน่งบ้านพระราชครูพราหมณ์ไว้เมื่อราว พ.ศ. ๒๔๒๖ ส่วนปัจจุบันจะเป็นอย่างไรก็ไม่ทราบ
คุณทวดของคุณละออศรีนั้นเป็นช่างเงินมาก่อนและคงมีช่วงชีวิตในช่วงก่อนรัชกาลที่ ๕ อาจเป็นคนรุ่นแรกๆ ที่เข้ามาตั้งบ้านเรือนอยู่ทางเหนือฝั่งคลองนอกเมืองที่มีเรือกสวนอยู่มาก และเป็นไปได้มากที่จะเป็นกลุ่มช่างหลวงจากเวียงจันทน์ที่ถูกอพยพโยกย้ายมาเมื่อครั้งรัชกาลที่ ๓
นอกจากนี้ยังเล่าต่อว่าคนรุ่นแม่ คุณป้า เป็นช่างสลักทำพวกของในวังบ้าง เช่น โกศเงินสลักหรือดุนลาย งานของแม่ได้เข้าไปทำแทบจะเป็นชิ้นท้ายๆ คือ โกศของสมเด็จพระนางเจ้ารำไพพรรณีในรัชกาลที่ ๗ โดยมีครูบาอาจารย์จากเพาะช่างพาเข้าไป นอกจากนี้ยังมีงานที่โรงกษาปณ์เดิมที่ไปแกะสลักลวดลาย
บ้านของคุณพ่อและญาติพี่น้องก็ทำเครื่องเงิน แม้คุณพ่อจะรับราชการกรมพระคลังข้างที่ในพระบรมมหาราชวัง เคยเป็นนักเรียนสวนกุหลาบรุ่นแรก เมื่อรับราชการต่อมาถูกดุลย์ออกจากราชการในช่วงรัชกาลที่ ๗ แต่ที่บ้านก็ยังมีกิจการเป็นนายเตา โดยคุณแม่ใหญ่และแม่เล็กเป็นคนควบคุม มีพี่สาววิ่งรับและส่งงานกับพ่อค้าและคนที่เข้ามาค้าขายถึงบ้าน
ในตรอกบ้านพาน คุณละออศรีเล่าว่า แม้จะมีอาชีพโดยพื้นของครอบครัวทำพานกันหลายบ้าน แต่บุตรหลานส่วนใหญ่รับราชการและส่งเสริมให้เรียนหนังสือและรับราชการ กล่าวกันว่าบุตรหลานข้าราชการแข่งกันเรียนเป็นหมอก็หลายท่าน โดยเฉพาะบุตรชาย ส่วนบุตรสาวนั้นไม่ได้รับการสนับสนุนทัดเทียมกันนัก โดยถูกปลูกฝังกันว่าการเรียนหนังสือเป็นสิ่งสูงสุดที่เปลี่ยนแปลงสถานภาพและชีวิตได้ เป็นทหาร ทำงานกระทรวงต่างๆ คนในย่านนี้จึงค่อยๆ ทยอยออกไปจากบ้านเดิม บ้างไปพำนักอาศัยอยู่ต่างประเทศ บ้างไปอยู่ต่างจังหวัด ผู้คนจึงลดน้อยลงจนแทบไม่เหลือคนดั้งเดิม
บุตรชายส่วนใหญ่ก็จะไปเรียนที่สวนกุหลาบบ้าง เตรียมอุดมฯ บ้าง ส่วนฝ่ายหญิงมักจะเรียนชั้นต้นๆ ที่โรงเรียนสตรีจุลนาค และมาต่อที่สตรีวิทยาหรือเบญจราชาลัย ในกลุ่มเฉพาะที่เป็นลูกหลานข้าราชการ ส่วนคนทั่วๆ ไปก็เรียนโรงเรียนใกล้ๆ บ้านที่มีอยู่หลายแห่ง ลูกผู้หญิงก็จะไม่ได้เรียนจบสูงนัก เพราะต้องช่วยครอบครัวในการทำพานเป็นส่วนใหญ่
คุณละออศรีให้ความเห็นที่รับรู้มาว่า แต่เดิมตรอกบ้านพานนั้นทำพานเงินกันมาก่อนจะมีการทำ “พานถม” เพราะมีการนำช่างมาจากนครศรีธรรมราช เป็นช่างถมเงินถมทอง มาเผยแพร่วิชาความรู้ และส่วนตนเองเคยเห็นคุณแม่ทำเครื่องถมจำพวกแหวนเงินแล้วใส่ลายทองก็พอมีบ้าง
จากความทรงจำของหลายท่านบ้านที่ทำพานเงินในตรอกบ้านพานมีหลายบ้าน เช่น บ้านขุนปราณีต บ้านขุนวรรณ บ้านขุนศรีวารี บ้านนายหงวน บ้านคุณพระธนธรรัตนพิมล บ้านสงวนสิน บ้าน พ.อ.เจิม ดิษยบุตร บ้านคุณหญิงอาบพรโสภณ บ้านนายยิ้ม เป็นต้น
อีกบ้านหนึ่งที่อยู่ริมคลองบางลำภูและเป็นขุนนางรับราชการไปพร้อมๆ กับเปิดบ้านทำพานเป็นหัตถกรรมในครัวเรือนคือ “บ้านขุนภักดีสาตรา (สิน)” เป็นนายทหารประจำแผนกรถไฟ กรมยุทธศาสตร์ กรมเสนาธิการทหารบก และนายทหารกรมแผนที่ ซึ่งมาซื้อที่ปลูกบ้านแถบนี้ โดยมีเพื่อบ้านเป็นข้าราชการเช่นกัน เช่น บ้านคุณพระวรภัทราทร บ้านหลวงรัตนสมบัติ โดยพื้นเพเป็นคนอยุธยาจากอำเภอนครหลวง ปลูกเรือนมั่นคงด้วยการเขียนแบบบ้านเองเมื่อราวร้อยกว่าปีก่อน ใช้ช่างเซี่ยงไฮ้ที่นิยมกันในสมัยนั้น ทุกอย่างจึงปราณีต ปลูกบ้านทั้งสองหลังมีระเบียงเชื่อม หลังหนึ่งยุบจนต้องรื้อไปแล้วและปลูกขึ้นใหม่ หลังที่รื้อเคยมีหลุมหลบภัยที่สร้างเป็นสองชั้นแล้วกรุด้วยคอนกรีตไว้หลบภัยยามสงครามรวมทั้งให้เพื่อนบ้านด้วย เวลามีเสียงหวอเตือนก็รวบรวมเครื่องเงินที่ใช้ทำพานเข้าไปหลบด้วย
รัตนา (ชูตินันทน์) กาญจนดุล
ทายาทในปัจจุบันคือ คุณรัตนา (ชูตินันทน์) กาญจนดุล อายุ ๗๐ ปี หลานปู่ เรียนจบจากคณะมัณฑนศิลป์ มหาวิทยาลัยศิลปากร เมื่อราวปี พ.ศ. ๒๕๐๙
ขุนภักดีสาตราแม้จะรับราชการ แต่ให้ภรรยาทั้งสองท่านที่อยู่ด้วยกันคอยควบคุมดูแลและนำไปส่งขายที่ “หัวเม็ด” สะพานหัน แล้วซื้อเงินแท่งมาชั่งโดยละเอียดและหลอม ทำแผ่นเงินผสมและขึ้นรูป “เหยียบพื้น” แม้ช่วงที่เกิดเมื่อ ๗๐ ปีที่แล้วก็ไม่ทันการทำพานแบบดั้งเดิม เพราะเลิกทำไปแล้ว แต่มีความทรงจำว่ามีช่างทำขัน สลักบ้าง ใช้เครื่องสูบเร่งไฟหลอมโลหะในเตาบ้าง กลึงหรือตะไบตอกขันบ้างตามพื้นที่ในบ้าน และใช้ใต้ถุนโล่งเป็นพื้นที่ทำงาน ส่วนใหญ่เป็นเพื่อนบ้านมารับจ้างทำแบบไปเช้าเย็นกลับ และเนื่องจากการทำพานหรือการทำเครื่องโลหะต้องใช้น้ำมาก บ้านนี้มีตาน้ำจึงขุดบ่อน้ำมีน้ำใสตลอดทั้งปี และเก็บรักษาไว้จนถึงปัจจุบัน
การผลิตเครื่องเงินหรือการหล่อเครื่องโลหะเต้าปูนที่เป็นทองเหลืองก็ตามจะมีการใช้การเตาหลอมและตีแผ่นโลหะ ดังนั้นจึงต้องมีการใช้น้ำสำหรับทำให้โลหะเย็นตัวจำนวนมากในแต่ละวัน หากไม่อยู่ตามแนวชายคลองเช่น บ้านหล่อ คนบ้านพานก็มักจะจ้างขุดบ่อน้ำหรือจ้างคนหาบน้ำมาใส่ตุ่มหรือภาชนะใส่น้ำ จึงมีอาชีพคนหาบน้ำจากลำคลองหรือน้ำประปาสาธารณะที่ทำขึ้นในเวลาต่อมา ซึ่งทำรายได้ค่อนข้างดี
แต่บุตรชาย แม้จะเรียนที่เพาะช่างและสามารถทำพานได้ แต่ก็รับราชการเป็นหลัก รวมทั้งเป็นตระกูลนายทหารเสียส่วนใหญ่จึงไม่มีผู้ใดรับสืบทอด เมื่อขุนภักดีสาตราสิ้นไปแล้วก็ไม่มีการทำกิจการต่อ
คุณรัตนาเล่าถึงความทรงจำของตนเองว่า บ้านคุณพระ ท่านขุน คุณหลวงในตรอกบ้านพานมีหลายบ้านก็เป็นนายเตาหลายท่าน และเพราะเป็นย่านบ้านพานจะมีเสียงตอกขันป๊อกๆ กันอยู่ทั้งวัน ท่าน้ำและโรงเลื่อยไม้อยู่ใกล้ๆ บ้านขุนภักดีสาตรา ริมคลองชายตลิ่งดินจะมีต้นจิกขึ้นเป็นแนวร่มรื่น บ้านไม่มีรั้วกั้น เรือนไม้มีอยู่แทบทุกหลังคาเรือน ข้ามคลองที่เคยออกช่องกุดและกำแพงเมืองแต่เดิมที่กลายเป็นตึกแถวและตลาดวันชาติไปเมื่อ พ.ศ. ๒๕๑๖ ชาวบ้านพานเดินข้ามคลองไปตลาดโดยใช้สะพานพระยาราชสัมภารากรที่เคยเป็นไม้แล้วจึงมาทำเป็นคอนกรีต บรรยากาศเงียบ มีเรือแจวเรือพาย ขายเมี่ยงมะม่วง น้ำใสพอจะอาบน้ำหรือซักผ้าได้ ชาวสวนก็มีมาบ้าง ขึ้นตลาดวันชาติที่ท่านี้
พิมพ์สิริ สุวรรณนาคร
คุณพิมพ์สิริ สุวรรณนาคร ประธานชุมชนบ้านพานถมในปัจจุบัน เกิดและเติบโตที่ตรอกบ้านพาน จากครอบครัวที่เป็น “นายเตา” ในตระกูลสุวรรณนาครซึ่งเป็นอีกบ้านหนึ่งที่ทำเครื่องเงินและพานเงิน สืบมาจากขุนราชมาลาการ (ครอบ) กรมชาวที่ และมีพระยานครอินทร (ทองดี) เป็นปู่ แม้วัยจะเข้าล่วงจนอายุ ๗๒ ปีแล้วแต่ก็ยังจำบรรยากาศของการทำพานได้ชัดเจนและรู้กรรมวิธีผลิตได้ทุกขั้นตอน
แผ่นเงินที่ผสมกับทองแดงเพื่อตีขึ้นรูปเป็นรูปทรงของภาชนะได้ง่ายขึ้น เช่น ขันน้ำหรือพานรอง แอ่งหล่อปูนมีหลุมสำหรับใส่เบ้าสำหรับหลอมเนื้อโลหะเงินที่ผสมทองแดง เปอร์เซนต์เนื้อเงินอยู่ที่ ๙๐-๙๕ เปอร์เซนต์ เพราะถ้ามีเนื้อเงินมากไปก็จะไม่สวยเพราะถูกอากาศขึ้นสนิมดำได้ง่าย รอบๆ แอ่งหลอมเป็นปูนเพราะร้อนจัด แล้วก็มีหลุมอย่างเดียวสำหรับใส่เบ้าที่มีสูบลมอัดอากาศเพิ่มอุณหภูมิความร้อนแล้วนำไปจุ่มน้ำ จากนั้นจึงนำเนื้อเงินที่ผสมทองแดงแล้วตีแผ่เป็นแผ่นกลมเพื่อขึ้นรูปภาชนะ โดยใช้ท่อนไม้ขนาดราวเสาเรือนเป็นแท่นรองรับและฆ้อนใหญ่ ซึ่งต้องใช้แรงและกำลังมากทีเดียว
เครื่องมือรูปแบบต่างๆ สำหรับทำลายบนพานและการเทชันเพื่อตอกลาย
มีการเท “ชัน” ซึ่งได้จากยางไม้ผสมกับน้ำมันยางจนเป็นของเหลวใส่ลงไปในภาชนะทั้งใบเพื่อรองรับด้านในเพื่อให้ช่างสลักที่มีฝีมือแกะหรือตอกลายโดยใช้สิ่วขนาดรูปร่างต่างๆ ตอกให้ได้เป็นรูปร่างตามลายที่เขียนแบบร่างไว้หรือจะตอกลายอย่างอิสระเลยก็ได้หากชำนาญ พอเน้นลงไปบนพื้นที่มีชันรองรับอยู่ลายจะดุนขึ้นมาและเห็นชัดเจน ไม่ใช่การแกะสลักลงไปในเนื้อเงิน
เมื่อเสร็จแล้วจึงนำมาขัด ต้องใช้ทรายทะเลเนื้อสีขาวละเอียดมาล้างมาขัดหรืออาจใช้ลูกปัดกลมๆ มาใช้เพื่อให้ล้างสะอาดแบบเบามือโดยใช้น้ำสะอาดต้มกับลูกประคำดีควายช่วยล้าง
จากงานช่างชั้นครูสู่งานหัตถกรรมชาวบ้าน
คุณละออศรี รัชตะศิลปินกล่าวว่า ราวๆ ช่วงหลังสงครามจนถึง พ.ศ. ๒๔๙๓ มีคนจีนที่อยู่ทางบางลำภูคนหนึ่งอาชีพเดิมขายก๋วยเตี๋ยวนำทองเหลืองบ้าง ทองแดงผสมทองขาว [White gold] ซึ่งทองขาวเป็นโลหะผสมระหว่างทองคำกับแร่อื่นๆ เพื่อให้เกิดสีที่ต่างๆ ไม่ใช่ทองคำขาวหรือ Platinum นำมารีดเป็นแผ่นๆ เป็นชิ้นๆ แล้วบัดกรีจนเป็นรูปร่างขันที่ปากขอบก็ใส่ลวดเข้าไป แต่ต้นทุนถูกกว่านำเอาแร่เงินมาใช้เป็นวัสดุแบบเดิม นำมาชุบเงินดูแวววาวสวยงามยาวนานกว่าการใช้พานเงินแท้ๆ เสียอีก แล้วจึงนำมาให้คนในบ้านพานตอกลาย
เมื่อคนรุ่นใหม่ๆ ที่คงเป็นหนุ่มสาวจากครอบครัวคนทำพานแบบดั้งเดิมก็รับตอกลาย เพราะรายได้ดีมาก เห็นอะไรในชีวิตในธรรมชาติ เช่น กุ้งหอยปูปลา คนพายเรือ ต้นสาเก กอหญ้าข้าว กอบัว เป็นลวดลายที่ไม่ต้องใช้ความละเอียดปราณีตหรือฝีมือมากนัก และเป็นลายง่ายๆ ไม่ต้องใช้เวลานาน แต่คนชอบกันมากกว่าลายเดิมๆ แบบโบราณ คนก็รับจ้างทำเพราะได้เงินดี
แต่เมื่อพ่อค้าคนกลางบอกว่าให้ทำพานเอง ต้องใช้การหยอดใช้กรดซึ่งค่อนข้างอันตรายจึงไม่ทำแล้ว เมื่อบ้านหนึ่งเลิกทำก็กระจายไปสู่บ้านอื่นๆ ที่รับทำ ดังนั้นการทำพานที่ไม่ใช่พานเงินตอกขึ้นรูปทั้งใบ แต่เป็นพานโลหะผสมแล้วบัดกรีเชื่อมจึงกระจายไปสู่คนตามบ้านต่างๆ ทั่วไปตลอดตั้งแต่บางลำภพูไปจนถึงหน้าวัดปรินายกไปจนผ่านฟ้า
คนรอบๆ ในเขตบ้านพานถมก็กระจายตัวมารับงานดุนลายพานแบบพื้นๆ กันไปหมด จนไปถึงแถบตรอกหน้าวัดบวรฯ ที่ทางกรุงเทพมหานครนำป้ายข้อมูลไปปักไว้
แต่คนบ้านพานเดิมๆ ที่เป็นนายเตาไม่มีผู้ใดกระทบกระเทือนมากนัก เพราะส่งลูกหลานเรียนหนังสือ ทำราชการเป็นส่วนมาก แต่บ้านอื่นๆ น่าจะมีบ้าง เพราะหลายบ้านต้องเลิกทำโดยเด็ดขาด บ้างคงไปหางานอาชีพอย่างอื่นหรือขายบ้านช่องออกไปอยู่ที่อื่นก็มี หรือบางรายเมื่อสูงวัยต้องเลิกทำไม่นานนักก็เสียชีวิตไป
นับจากนั้นเป็นต้นมา หลัง พ.ศ. ๒๔๙๓ แล้ว การทำพานแบบโบราณดั้งเดิมก็ไม่เคยหวนกลับมาอีกเลย
ปั๊มอลูมิเนียม “ปิดฉาก” งานช่างฝีมือโบราณ
เมื่อเจ้าของกิจการผลิตภาชนะเครื่องใช้ทำจากอลูมิเนียมตราแมวน้ำที่อยู่แถวบางปะกอก เริ่มผลิตเครื่องใช้อลูมิเนียมเข้ามาตีตลาด จำพวกเหยือก กาน้ำ ขันน้ำ ทัพพี แก้ว หม้อข้าว ฯลฯ ซึ่งราคาถูกกว่ามากและสีสวย น้ำหนักเบา และผลิตแบ “ปั๊ม” ด้วยเครื่องจักรครั้งละมากๆ ได้อย่างง่ายดาย ผลิตภัณฑ์อลูมิเนียมก็ตีตลาดพานเงิน พานโลหะผสม จนชาวบ้านบริเวณรอบๆ ที่เคยรับจ้างคนจีนที่บางลำพูต้องเลิกทำภาชนะในที่สุด หลายท่านกล่าวว่าอยู่ในช่วงราว พ.ศ. พ.ศ. ๒๕๐๕-๒๕๑๐
เมื่อนายห้างแมวน้ำนำขันและพานเงินที่เคยเป็นงานฝีมือช่างชั้นสูงไปทำปั๊มสำเร็จรูปในที่สุด การทำงานดุนลายด้วยมือที่แจกจ่ายไปตามบ้านรอบๆ ก็สิ้นสุดแต่เพียงเท่านี้ ผู้คนแถบบ้านพานถมจึงต้องหางานหรืออาชีพอื่นๆ ทำทดแทนนับแต่นั้น
เป็นการ “ปิดฉาก” งานช่างชั้นครูที่ตรอกบ้านพานอย่างสมบูรณ์กันทีเดียว
เครื่องถม / ถมนคร / เครื่องถมไทยนคร
“เครื่องถม” คือการทับหรือถมรอยโดยใช้น้ำยาถมที่มีส่วนผสมระหว่าง เงิน ทองแดง ตะกั่ว และกำมะถัน ซึ่งเมื่อหลอมเหลวแล้วจะมีสีดำ แล้วนำมาทาบนลวดลายแกะสลักบนเนื้อภาชนะหรือเครื่องประดับต่างๆ ที่ต้องใช้ความปราณีตและใจเย็นในการแกะสลักลวดลาย และใช้ความชำนาญในการถมน้ำยา น้ำยาถมที่ดีนั้นต้องติดแน่นกับเนื้องานที่แกะสลัก พื้นดำต้องไม่มีตามดคือผิวเรียบเนียนไม่มีรูพรุน
งานเครื่องถมต้องใช้กรรมวิธีการผลิต ๓ ขั้นตอนใหญ่ๆ คือ การ “ขึ้นรูป” ซึ่งมาจากช่างเงินหรือช่างทองที่จะทำรูปทรงภาชนะหรือเครื่องประดับต่างๆ เพื่อเป็นชิ้นงานซึ่งแยกออกเป็นภาชนะขนาดใหญ่ เช่น ขันน้ำพานรอง เครื่องเชี่ยนหมาก หีบบุหรี่ กาน้ำ ภาชนะขนาดเล็ก เช่น เครื่องประดับ กำไล แหวน วิธีการต่อไปคือ การ “แกะสลักลาย” คือการแกะลงบนเนื้อเครื่องประดับหรือภาชนะนั้นๆ ให้เป็นร่องรอยสวยงานตามลวดลายต่าางๆ และ “การถม” ซึ่งต้องใช้ความชำนาญในการผสมและลงยาถมบนพื้นที่ซึ่งแกะสลักลวดลายไว้แล้ว
นี่คือกรรมวิธีผลิตที่มีความแตกต่างระหว่างช่างสลักพานเงินและช่างพานถมหรือเครื่องถมอย่างชัดเจน
เครื่องถมแบ่งออกเป็น ๓ ประเภท ถมดำหรือถมเงิน ถมตะทอง และถมทอง
ขันน้ำพานรองเครื่องถมนครซึ่งมีรูปแบบการผลิตที่แตกต่างกัน ภาพจาก https://aunhappy.wordpress.com/about/•gallery-งานเครื่องถมนคร/
ถมเงิน คือถมดำเป็นงานถมแบบดั้งเดิม คือการทาเนื้อถมลงบนพื้นลายบนพื้นเนื้อเงิน ซึ่งจะขับลายให้สวยงามขึ้น
ถมทอง คือการถมดำแต่แตกต่างที่ลวดลาย จากลายสีเงินก็เป็นลายสีทอง ช่างถมจะละลายทองคำให้เหลวในปรอท ช่างถมจะชุบน้ำทองผสมปรอทด้วยพู่กันเขียนทับลงบนลวดลายเส้นสีเงินเท่านั้น แล้วจะใช้ความร้อนไล่ปรอทออกจากทอง ทองก็จะติดแน่นอยู่บนพื้นที่เขียนน้ำทองนั้น
ถมตะทอง หมายถึงวิธีระบายทองผสมปรอทหรือเป็นแห่งๆ บนลวดลายที่ต้องการ ไม่ระบายทั้งหมดแบบถมทอง
เครื่องถมที่ทำด้วยเงินหรือทองนี้ โบราณเรียกว่า “ถมปรักมาศ”
ช่างถมที่ถือกันว่าฝีมือดีที่สุดคือช่างถมเมืองนครศรีธรรมราช เรามักได้ยินชื่อเสียงของเครื่องถมในนาม “ถมนคร” เครื่องถมนครได้รับความนิยมจนปัจจุบัน เนื่องจากยังรักษาคุณภาพไว้ได้ ลักษณะเด่นของงานถมนคร จะมีสีดำเงางาม ลวดลายเกิดจากการสลักด้วยมือไม่ว่าจะเป็นการเคาะหรือแผ่รีด ทำให้ลวดลายมีความละเอียดและด้านในจะมีรอยสลักนูนขึ้นมา
สมัยรัตนโกสินทร์ เครื่องถมถือเป็นของสูงศักดิ์ ที่ใช้เป็นเครื่องราชูปโภคและเครื่องราชบรรณาการ ในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย เครื่องถมเมืองนครได้รับความนิยมอย่างสูงในราชสำนักและเจ้าเมืองนครศรีธรรมราชเอง คือ เจ้าพระยานครศรีธรรมราช (น้อย) ก็เป็นผู้ส่งเสริมและทำนุบำรุงช่างถมให้เจริญก้าวหน้า จนเครื่องถมเมืองนครเข้ามามีชื่อเสียงในพระนครเป็นอย่างมาก และยังสืบทอดต่อมาจนกลายเป็นโรงเรียนช่างถมนครศรีธรรมราชและกลายเป็นวิทยาลัยเทคโนโลยีและอาชีวศึกษานครศรีธรรมราช
อย่างไรก็ตาม จากคำบอกเล่าก็พบว่าช่างทำพานที่บ้านพานรุ่นเก่า น่าจะทำเครื่องถมเป็น แต่ด้วยกรรมวิธีที่มีมากกว่าและค่อนข้างใช้ความละเอียดปราณีตและเวลา การทำเครื่องถมจึงไม่นิยมทำกันในพื้นที่บ้านพานแต่อย่างใด
เพราะเมื่อราว พ.ศ.๒๔๕๓ เจ้าพระยาธรรมศักดิ์มนตรี (สนั่น เทพหัสดิน ณ อยุธยา) ได้ฟื้นฟูส่งเสริมศิลปหัตถกรรมเครื่องถมนครศรีธรรมราชขึ้นในกรุงเทพมหานคร พ.ศ.๒๔๕๖ ได้เปิดแผนกช่างถมขึ้นในโรงเรียนเพาะช่าง และเรียกขุนปราณีถมกิจ (หยุย จิตตะกิตติ) เป็นช่างถมอยู่บ้านพานถมให้มารับราชการเป็นผู้สอนร่วมกับขุนประดิษฐ์ถมการ (รื่น ทัพวัฒน์) วิชาเครื่องถมนี้ได้รับการส่งเสริม โดยให้มีการเรียนการสอนในโรงเรียนเพาะช่างสืบต่อเนื่องถึงปัจจุบัน
ในช่วงเวลาที่งานทำพานเงินกำลังเฟื่องฟู ก็มี “ห้างไทยนคร” ที่สืบทอดการผลิตหัตถกรรมเครื่องถม ที่เป็นของเครื่องใช้สำหรับผู้มีฐานะผลิตเครื่องถมที่ถนนจักรเพชร เชิงสะพานพุทธฯ เคยมีคนทำเครื่องถมนับร้อยคน โดยนายสมจิตรและนางปราณี เที่ยงธรรมเป็นผู้ก่อตั้ง เมื่อปี พ.ศ. ๒๔๗๕ ผลิตสินค้าเครื่องเงินและเครื่องถมจำหน่าย แต่ลูกค้ารายใหญ่คือสำนักพระราชวัง สำนักนายกรัฐมนตรี กระทรวงและธนาคารต่างๆ รวมทั้งผู้มีฐานะดี สินค้าจำพวก หีบบุหรี่ ซองบุหรี่ ชุดน้ำชา กาแฟ หัวเข็มขัด สร้อยข้อมือ และกรอบรูปที่ขายดีในระยะหลัง และ พ.ศ. ๒๔๘๙ ได้รับพระราชทานครุฑตราตั้งจากพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวอานันทมหิดล และมีการส่งจำหน่ายในต่างประเทศนับจากหลังสงครามโลกครั้งที่ ๒ เป็นต้นมา
ต่อมาจึงย้ายมาอยู่ที่ถนนประชาธิปไตยใกล้วัดตรีทศเทพ ฝั่งตรงข้ามเยื้องกับตรอกบ้านหล่อ เมื่อราว พ.ศ. ๒๔๙๘ เล่ากันว่ามีช่างย้ายตามมาราว ๒๐ คนเท่านั้น โดยทางร้านนำช่างฝีมือจากเมืองนครฯ มาเป็นช่างลงถม นำช่างจีนกวางตุ้งมาเป็นช่างขึ้นรูปเครื่องเงิน ส่วนลวดลายเครื่องเงินที่มีชื่อเสียงของทางร้าน เช่น ลายเปลวเพลิงผสมเทพพนม ลายเรือสุพรรณหงส์ และลายนารายณ์ทรงสุบรรณ และไม่ได้มีประวัติศาสตร์ที่เกี่ยวข้องกับงานหัตถกรรมของบ้านพานแต่ดั้งเดิมแต่อย่างใด
ขันน้ำพานรองและประกวดเทพีในงานสงกรานต์วิสุทธิกษัตริย์
สงกรานต์ที่ถนนวิสุทธิกษัตริย์เริ่มขึ้นเมื่อ พ.ศ. ๒๔๗๘ เกิดจากการจัดงานของชาวบ้านในละแวกบ้านพานและชาวบ้านรอบๆ เช่น บ้านหล่อ บ้านพานถม วัดตรีทศเทพ ซอยนามบัญญัติไปจนถึงบางขุนพรหม เทเวศร์ วัดอินทรวิหาร วัดสามพระยา วัดใหม่อมตรส มาร่วมกันทำบุญใส่บาตร ปล่อยนก ปล่อยปลาในวันสงกรานต์ กลางคืนมีมหรสพต่างๆ ให้ดูฟรี และได้รับการอุปการะจากเจ้าคุณวิเศษธรรมธาดา อดีตอธิบดีศาลฎีกา ตลอดจนอดีตข้าราชการและผู้อาวุโสสมัยนั้นช่วยสนับสนุน
การประกวดเทพีวันสงกรานต์วิสุทธิกษัตริย์ ปี พ.ศ. ๒๕๐๘ ผู้ได้รับรางวัลเป็นขันน้ำเครื่องเงินจากบ้านพาน
ต่อมาการจัดงานได้ระงับไป ๔ ปีในระหว่างสงครามโลกจนถึงราว พ.ศ. ๒๔๘๙ สมเด็จพระนางเจ้ารำไพพรรณีพระบรมราชินีในรัชกาลที่ ๗ ทรงพระราชทานเงินสมทบการจัดงานขึ้นอีกครั้งโดยใช้ชื่องานว่า “งานรับขวัญชาววิสุทธิกษัตริย์” และเริ่มมีการประกวดเทพีสงกรานต์เป็นครั้งแรก
เล่ากันว่าการประกวดนั้นเริ่มแต่เช้าตรู่ผู้เข้าประกวดทุกคนจะมาใส่บาตรข้าวสารอาหารแห้งพร้อมๆ กับชาวบ้านละแวกถนนวิสุทธิกษัตริย์ แล้วการประกวดเริ่มขึ้นในเวลา ๗ โมงเช้า ซึ่งแตกต่างไปจากเวทีประกวดอื่นๆ ที่มักจัดกันในช่วงเย็นค่ำ ของรางวัลที่มอบในสมัยนั้นก็เป็นพานลงยา ผลิตภัณฑ์หัตถกรรมจากตรอกบ้านพานนั่นเอง
บรรณานุกรม
นิทรรศการออนไลน์พิพิธภัณฑ์ธรรมศาสตร์เฉลิมพระเกียรติ คณะสังคมวิทยาและมานุษยวิทยา มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ “ประวัติความเป็นมาของเครื่องถม” http://museum.socanth.tu.ac.th/images/page5Online%20Exhibition/ถททอง/1%20online%20Thomthong.html
ผู้จัดการ Online, ลุยกรุง& รอบกรุง. สงกรานต์วิสุทธิ์กษัตริย์ ตำนานที่ยังมีลมหายใจ. http://www.manager.co.th/Travel/ViewNews.aspx?NewsID=9500000041410 ๑๐ เมษายน ๒๕๕๐ ๑๗.๑๙ น.
ปราณี กล่ำส้ม เรียบเรียง, น.อ.อิสระ รัชตะศิลปิน เล่าเรื่อง, เด็กบ้านพานถม วารสารเมืองโบราณ ปีที่ ๓๔ ฉบับที่ ๑ (มกราคม-มีนาคม ๒๕๕๑)
พิพิธโภคัย-บ้านหล่อ-นามบัญญัติ ๓ ตรอกบนถนนประชาธิปไตย
ภาคผนวก
รายชื่อผู้อยู่อาศัยริมคลองบ้านหล่อ จากเอกสารสารบาญชี ส่วนที่ ๔ คือราษฎรในจังหวัด คูแลคลองลำปะโดง สำหรับเจ้าพนักงานกรมไปรษณีย์กรุงเทพมหานคร จุลศักราช ๑๒๔๕
หมื่นพิมนนาวี ขึ้นในกรมท่า เรือนฝากระแชงอ่อน, นายยารุด บุตรนายโพ ขึ้นในหลวงทวยหาญ เรือนฝากระดาน, หมอโพ เป็นขุนหมื่นขึ้นเจ้าพระยาหิน เป็นหมอรักษาโรคต่างๆ เรือนฝากระดาน, ขุนประสาทอักษร ขึ้นพระยาภาษกรวงษ์ กรมอาลักษณ์สอนหนังสือ มหาดเล็กเรือนฝากระแชงอ่อน, จ่าใจสุรแก้ว ตำรวจหน้า ขึ้นพระพรหมสุรินทร์ เรือนฝากระดาน, โรงปั้นหม้อ เป็นโรงแตะ, นายเทด เป็นขุนวิเสศ ขึ้นเจ้าพระยามหิน ช่างหล่อเต้าปูนขาย เรือนฝากระดาน, ปลัดบุด ขึ้นพระยากลาโหม กรมพระราชวังบวร เรือนฝากระดาน, หม่อมเจ้าพร้อม บุตรกรมพราม เรือนฝากระดาน, นายนากเป็นไพร่หลวง ขึ้นอินทราชเป็นตำรวจ อาศัยหม่อมเจ้าพร้อม อยู่ฝาเรือนแตะ, นายแช่มบุตรนายคำ ขึ้นหม่อมเจ้าอึ่ง หล่อเต้าปูนขาย เรือนฝากระแชงอ่อน, อำแดงแย้ม หม้าย เรือนแตะ, นายเวรคุ้ม ขึ้นพระองค์ดิศวร เป็นช่างหล่อกระดึงวัดพระแก้ว เรือนฝากระแชงอ่อน, นายชื่น หมื่นนรินรักษา ขึ้นพระองค์เจ้าสาย หล่อเต้าปูนขาย เรือนฝากระแชงอ่อน, นายอ่ำเป็นบุตรนายคุ้ม ขึ้นหลวงเสนาภักดี เรือนฝากระแชงอ่อน, นายรอดเป็นขุนหมื่น ขึ้นพระยาศิริคลังมหาสมบัติ เรือนฝากระแชงอ่อน หล่อเต้าปูนขาย,
นายเอี่ยม เป็นขุนหมื่น ขึ้นพระเวียงใน เป็นพวกนักเรียนหนังสือสวนอนัน เรือนฝาแตะ, หลวงวิจารณ์คลังซ้าย ขึ้นพระยานานา เจ้ากรมไพร่หลวง เรือนฝากระดาน, อำแดงเอม ยังไม่มีผัว หล่อเต้าปูนขาย เรือนฝากระดาน, พระรามณรงค์ ขึ้นพระยากลาโหม กรมพระราชวังบวร หล่อเต้าปูนขาย เรือนฝากระดาน, หลวงพิชิตณรงค์ ขึ้นพระยากลาโหม กรมพระราชวังบวร เรือนฝากระดาน ทำราชการ, นายเหมือน บุตรนายหา ขึ้นพระยามหิน เรือนฝากระแชงอ่อน อำแดงเตีย เป็นหม้าย เรือนฝาแตะ, อำแดงชั่น แม่หม้าย เรือนฝากระแชงอ่อน, อำแดงทา ยังไม่มีผัว เรือนฝาแตะ, อำแดงสง เป็นหม้ายเรือนฝาแตะ, นายเถิน เป็นเลขวัดสระเกษ ขึ้นเจ้าพระยามหิน เรือนฝาแตะ, ปลัดไทย ช่างมุข ขึ้นพระองค์สุกรมอดิศร เรือนฝากระแชงอ่อน, นายพัน บุตรนายพุ่มขึ้นหลวงนายชาญภูเบศ เรือนฝากระดาน, นายกลั่น บุตรนายขำ ขึ้นพระยาสุรเสนา เรือนฝากระแชงอ่อน, นายเรือง บุตรนายแย้ม ขึ้นพระองค์เจ้าสายกรมแสง เรือนฝากระแชงอ่อน ทำตุ๊กตาขาย, นายนก บุตรนายเอียม ขึ้นพระกลาโหม กรมพระราชวังบวร เรือนฝากระแชงอ่อน หล่อผะอบเต้าปูนขาย, นายม้า บุตรนายเลี้ยง ขึ้นหลวงศักดา กรมสัสดีขวา เรือนฝากระแชงอ่อน หล่อเต้าปูนขาย, นายจ่าง หมื่นทิพสินลา ขึ้นพันพุทกรมหมาดไทย เรือนฝากระแชงอ่อน หล่อเต้าปูนขาย, นายขำ บุตรนายนาก ขึ้นกรมพระบำราบ โรงแตะ หล่อเต้าปูนขาย
นายดาบ บุตรนายอ่ำ ขึ้นพระศรีสุนทร เรือนฝากระแชงอ่อน หล่อเต้าปูนขาย, นายรอด หมื่นณรงค์ภักดี กรมเรือดั้ง ขึ้นกรมพระบำราบ เรือนฝากระแชงอ่อน หล่อผะอบขาย, อำแดงสี เป็นเลขวัดเลียบ ขึ้นพระยามหิน เรือนฝาแตะ, อำแดงเซา เป็นเลขวัดเลียบ ขึ้นเรือนพระมหิน เรือนฝาแตะ, อำแดงสี เป็นเลขวัดสะเกศ ขึ้นพระยามหิน เรือนแตะ, นายจั่น บุตรนายสี เป็นเลขวัดเลียบ ขึ้นพระยามหิน เรือนฝากระแชงอ่อน, อำแดงลี เป็นเลขวัดเลียบ ขึ้นพระยามหิน เรือนฝากระแชงอ่อน ทอหูก, นายคง บุตรนายมา ขึ้นพระยามหิน เป็นเลขวัดเลียบ เรือนฝาแตะ, อำแดงมา เป็นเลขวัดระฆัง ขึ้นพระยามหิน เรือนฝากระแชงอ่อน, นายสอน บุตรนายคุ้ม กรมมหาดไทย ขึ้นหลวงเสนาภักดี เรือนฝากระแชงอ่อน หล่อเต้าปูนขาย, อำแดงแก้ว เป็นเลขวัดระฆัง ขึ้นพระยามหิน เรือนฝากระแชงอ่อน, นายลา บุตรนายคำ เป็นเลขวัดสระเกษ ขึ้นพระยามหิน โรงฝาแตะ
นายชื่น เป็นขุนหมื่น ขึ้นพระองค์เจ้าสาย เป็นหมอยารักษาโรคต่างๆ เรือนฝากระแชงอ่อน, นายพัด บุตรนายลี เป็นเลขวัดโพ ขึ้นพระยามหิน เรือนฝาแตะ เป็นช่างมุข, อำแดงอ่อน บุตรนายจันเป็นเลขวัดราชบูรณะ ขึ้นพระยามหิน เรือนฝาแตะ นายบัว บุตรนานสอน เป็นมหาดเล็กพระองค์โตใหญ่ เรือนฝาแตะ, นายทองบุตรนายช้อย เป็นเลขวัดโพ ขึ้นพระยามหิน เรือนฝาแตะเป็นช่างมุข นายยวนบุตรนายเพง เป็นเลขวัดโพ ขึ้นพระยามหิน เรือนฝากระแชงอ่อน เป็นช่างมุข, นายไทย เป็นขุนภักดีรสธรรม เป็นปลัดกรมวัดโพ ขึ้นพระยามหิน เรือนฝากระแชงอ่อน, อำแดงทองบุตรนายมา เป็นเลขวัดโพ เรือนฝาแตะเป็นช่างมุข
นายหมวดลาเป็นเลขวัดโพขึ้นพระยามหิน เรือนฝากระแชงอ่อน เป็นช่างมุข, อำแดงบาง เป็นเลขวัดโพ เรือนฝากระแชงอ่อน ช่างมุข, นายเนด บุตรนายอ่อนเลขวัดโพ ขึ้นพระยามหิน เรือนฝากระแชงอ่อน เป็นช่างมุข, อำแดงแป้น บุตรนายจีน ขึ้นพระพันพุท เรือนฝาแตะ, อำแดงอิ่ม ขึ้นอยู่คุณวรจัน พนักงานส่งดอกไม้ เรือนฝากระแชงอ่อน, นายแพ บุตรขุนบำรุงกรมการ ขึ้นพระนครสวรรค์ เรือนฝากระดาน, นายเปรมเป็นขุนหมื่น ขึ้นหลวงทวยหาญ เรือนฝากระดาน เป็นหมอรักษาโรคต่างๆ , นายพริ้งบุตรนายอยู่ ขึ้นหลวงพิพิธณรงค์ กรมกลาโหม เรือนฝากระแชงอ่อน เป็นช่างกลึง