วลัยลักษณ์ ทรงศิริ

เอกสารเพื่อประกอบการเสวนาสาธารณะของคนย่านเก่าเมืองกรุงเทพฯ ที่ป้อมมหากาฬ เรื่อง “ฟื้นพลังยาไทย บำรุงชาติสาสนายาไทย” วันอาทิตย์ที่ ๓ เมษายน ๒๕๕๙

ย่านเสาชิงช้า ถนนตีทอง และถนนบำรุงเมือง

บรรยากาศรอบๆ บ้านหมอหวานเมื่อเกือบ ๘๐ ปีก่อนนั้น สงบร่มรื่น ถนนย่านเสาชิงช้าว่างมากมีเพียงรถรางสายหัวลำโพง–บางลำพู กับรถเจ๊ก ที่มีคนจีนรับจ้างลากรถ คุณป้าออระ วรโภค วัย ๘๖ ปี หลานตาของหมอหวาน รอดม่วง หมอยาแผนโบราณกล่าวถึงบรรยากาศของย่านรอบๆ บ้านหมอหวานเมื่อครั้งยังเป็นเด็ก
กรุงเทพฯ ย่านวัดสุทัศน์เทพวรารามฯ หรืออาจจะคุ้นเคยว่าเป็น “ย่านเสาชิงช้า” เป็นพื้นที่สำคัญของพระนครมาตั้งแต่ครั้งสร้างกรุงฯ โปรดฯ ให้สร้างเสาชิงช้าในพระนครขึ้นตรงหน้าเทวสถานโบสถ์พราหมณ์ บริเวณลานด้านเหนือของวัดสุทัศนเทพวรารามฯ ต่อมาย้ายมาสร้างใหม่ ณ ที่ตั้งปัจจุบันบริเวณหน้าวัดสุทัศน์ฯ ในสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว เนื่องจากการพิธีโล้ชิงช้าตรียัมปวายซึ่งมีผู้คนมากมายมาร่วมชมมีพื้นที่จำกัด นอกจากเทวสถานโบสถ์พราหมณ์ที่เป็นศาสนสถานมาแต่ต้นกรุงฯ แล้วก็ยังมีวัดเทพมณเฑียรและสมาคมฮินดูสมาช รวมทั้งโรงเรียนภารตวิทยาลัยที่เป็นโรงเรียนกิจการของชาวฮินดู-ซิกส์ในบริเวณใกล้เคียง ศาลพระนารายณ์ซึ่งสร้างขึ้นภายหลังตรงเกาะกลางถนนอุณากรรณและถนนศิริพงษ์ บริเวณนี้มีโรงเรียนเบญจมราชาลัยอยู่บริเวณฝั่งวัดสุทัศน์ฯ ด้านทิศตะวันออก

ส่วนบริเวณถนนด้านตะวันตกของวัดสุทัศน์ฯ คือถนนตีทองตัดกับถนนบำรุงเมืองเรื่อยไปจนจรดถนนตรีเพชร ถนนที่ขนานและถัดจากถนนตีทองทางฝั่งตะวันตกเรียกว่าถนนตะนาวและถนนเฟื่องนคร เมื่อตัดกับถนนบำรุงเมืองเรียกว่า สี่กั๊กเสาชิงช้า ถนนตะนาวนั้นผ่านแพร่งนรา แพร่งภูธร แพร่งสรรพศาตร์ ย่านแพร่งบริเวณถนนตะนาวนี้มีร้านค้าที่มีสินค้าราคาแพงจากต่างประเทศมาขายโดยเป็นที่รู้จักแพร่หลายกันดีมาตั้งแต่ครั้งรัชกาลที่ ๕ เคยมีทั้งโรงละคร ร้านอาหารอร่อยหลายแห่ง ร้านขายเครื่องหนัง หมวกรวมทั้งเครื่องหมายสำหรับข้าราชการ เพราะบริเวณนี้ใกล้กับกระทรวงมหาดไทย กระทรวงกลาโหม และหน่วยงานราชการอีกหลายแห่ง ต่อจากนั้นเป็นศาลเจ้าพ่อเสือและวัดมหรรณพารามไปทางสี่แยกคอกวัว จากแยกสี่กั๊กเสาชิงช้าที่เป็นถนนเฟื่องนครผ่านหน้าวัดราชบพิธฯ และย่านโรงพิมพ์ในอดีตไปจนถึงสี่กั๊กพระยาศรี

1

จากสี่กั๊กเสาชิงช้าไปจนจรดแยกสำราญราษฎร์ มีตึกแถวเก่าแก่รุ่นแรกๆ ของประเทศไทยที่ริมถนนบำรุงเมืองซึ่งเป็นย่านจำหน่ายสังฆภัณฑ์เก่าแก่และใหญ่ที่สุด

พื้นที่ทั้งหมดโดยรอบย่านเสาชิงช้า วัดสุทัศน์ฯ ถือว่าอยู่ในเส้นทางเก่าแก่ของพระนครตั้งแต่ครั้งเมื่อแรกสร้างกรุงเทพฯ ซึ่งน่าจะเป็นทางลำลองไม่กว้างแต่อย่างใด เพราะเป็นเส้นทางที่ตัดออกจากพระบรมมหาราชวังออกไปยังเสาชิงช้า โบสถ์พราหมณ์ และวัดสุทัศน์เทพวรารามฯ ซึ่งเป็นวัดสร้างครั้งรัชกาลพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าฯ โปรดเกล้าฯ ให้สร้างพระวิหารขึ้นก่อนเพื่อประดิษฐานพระศรีศากยมุนี (พระโต) ซึ่งอัญเชิญมาจากพระวิหารหลวงวัดมหาธาตุ จังหวัดสุโขทัย เป็นวัดสำคัญของพระนครอีกแห่งหนึ่ง

และเมื่อครั้งรัชกาลพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว โปรดเกล้าฯ ให้ตัดถนนแบบตะวันตกขึ้นหลายสาย ซึ่งทำให้กว้างอัดพื้นให้เรียบเพื่อการใช้ยานพานหนะและการขี่ม้าของชาวตะวันตก และเริ่มสร้างตึกแถวเพื่อให้เช่าจนกลายเป็นร้านค้าตามถนนสายแรกๆ ของกรุงเทพฯ คือถนนบำรุงเมืองและเฟื่องนคร และสร้างถนนเจริญกรุงให้เชื่อมต่อกับย้านการค้าของคนจีนและเลยไปทางย่านเศรษฐกิจริมแม่น้ำเจ้าพระยาจนถึงถนนตกด้วย

กล่าวได้ว่าบริเวณย่านเสาชิงช้าตลอดจนบริเวณถนนรายรอบวัดสุทัศน์ฯ เรื่อยไปจนถึงสี่กั๊กเสาชิงช้าและสี่กั๊กพระยาศรี จึงเป็น “ย่านการค้าแบบสมัยใหม่” บริเวณแรกๆ ของพระนครตั้งแต่กรุงเทพฯ เริ่มเข้าสู่ยุคการเปลี่ยนแปลงสู่ยุคทันสมัย [Modern] ตั้งแต่ช่วงรัชกาลที่ ๔ และ ๕ เป็นต้นมา

ร้านยาหมอหวาน : บ้านหมอหวาน

เล่ากันในครอบครัวของหมอหวานว่า เริ่มแรกหมอหวานตั้งบ้านเรือนอยู่บริเวณแยกถนนอุณากรรณที่ต่อกับย่านชุมชนถนนบ้านลาวที่กลายมาเป็นถนนเจริญกรุงในเวลาต่อมา ซึ่งอยู่ทางฝั่งตะวันออกของวัดสุทัศน์ฯ ต่อมาจึงย้ายมาอยู่ฟากถนนตีทองที่อยู่ฟากตะวันตกใกล้กับถนนบำรุงเมือง แม้ไม่ได้สร้างเป็นอาคารร้านค้าริมถนนแต่ก็อยู่ในจุดที่สามารถเดินเท้าเข้าถึงได้จากถนนทั้งสองแห่ง บ้างคิดว่าเป็นมุมอับ แต่การสร้างให้เป็นทั้งบ้านและร้านขายยาก็ดูจะเหมาะสมกับพื้นที่เช่นนี้ โดยทำส่วนหน้าเป็นร้านขายยา ในตรอกที่เข้าได้ถึงทั้งถนนตีทองและถนนบำรุงเมือง ร้านยาหมอหวานเป็นตึกสวยออกแบบตามสถาปัตยกรรมแบบโคโลเนียล สร้างเมื่อปี พ.ศ. ๒๔๖๗ หน้าอาคารมีตัวอักษรแปลกตาเขียนติดกันว่า “บำรุงชาติสาสนายาไทย” ถัดลงมามีสัญลักษณ์ตาเหลวและชื่อหมอหวาน เจ้าของผู้สร้างอาคารหลังนี้

12

ร้านยาหมอหวานเป็นตึกที่ก่อสร้างในราวรัชกาลที่ ๖ และตกทอดมาถึงทายาทในปัจจุบัน

ที่ฟื้นฟูยาหอมและเปิดร้านขายยาหอมในรูปทันสมัยขึ้นใหม่

ที่ร้านหมอหวานในปัจจุบัน ทายาทรุ่นเหลนตา คุณภาสินี ญาโณทัยและคณะ ศึกษาและค้นคว้าหลักฐานจากสมบัติตกทอดสืบกันมาภายในบ้าน พบว่ามีฉลากยาเก่าเขียนว่า “ร้านขายยาไทยตราชะเหลว” ของหมอหวานตั้งอยู่มุมถนนอุณากรรณ แสดงว่าหมอหวานน่าจะมีกิจการปรุงยามาตั้งแต่ก่อนสร้างบ้านหมอหวานหลังนี้นานพอสมควร เพราะสามารถสร้างบ้านเป็นตึกหลังงามขนาดย่อมบนที่ดินของตนเองและเป็นบ้านตึกที่แสดงถึงฐานะอย่างภูมิฐาน

2

รูปปั้นครึ่งตัวหมอหวาน โดยที่รูปถ่ายไม่พบเหลืออยู่

ร้านยาหมอหวานนั้นสร้างขึ้น ๑ ปีภายหลังจากมี “พระราชบัญญัติการแพทย์พุทธศักราช ๒๔๖๖” โดยเนื้อความว่า การรักษาโรคนั้นเป็น “การประกอบโรคศิลปะ” ที่มีอิทธิพลต่อสวัสดิภาพของประชาชน กรุงสยามยังไม่มีระเบียบบังคับควบคุม ประชาชนยังไม่มีความคุ้มครองจากอันตรายอันอาจจะเกิดจะการประกอบโดยผู้ไร้ความรู้และไม่ได้ฝึกหัด เป็นต้น ในพระราชบัญญัตินี้กล่าวเฉพาะถึงการปรุงยาเท่านั้น แต่ยังไม่ได้ครอบคลุมถึงการขายยาด้วย ต่อมาเมื่อมีพระราชบัญญัติเพิ่มเติม พ.ศ. ๒๔๗๒ จึงควบคุมให้สถานขายยา การโฆษณายาต่างๆ ให้อยู่ในการประกอบโรคศิลปะด้วย

เพราะในยุคนั้นการแพทย์แบบสากลคือแบบตะวันตกได้แพร่หลายเข้ามามากแล้วและเป็นระยะเวลานานแล้ว เช่น การสร้างโอสถศาลาของมิชชั่นนารีชาวอเมริกันตั้งแต่เมื่อครั้งรัชกาลพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว “หมอบรัดเลย์” เปิด “โอสถศาลา” ขึ้นเป็นที่แรกในสยาม ราว พ.ศ. ๒๓๗๙ เพื่อทำการรักษา จ่ายยาและหนังสือเกี่ยวกับศาสนาให้กับคนไข้ จนเริ่มมีการสร้างโอสถศาลาตามหัวเมืองต่างๆ โดยรัฐในเวลาต่อมาเมื่อสมัยรัชกาลที่ ๕

ในพระราชบัญญัติ พ.ศ. ๒๔๖๖ เแบ่งการแพทย์เป็น ๒ แผน คือ แพทย์แผนปัจจุบันและแพทย์แผนโบราณ โดยแพทย์แผนโบราณแบ่งออกเป็น ๔ สาขา ได้แก่ สาขาเวชกรรมแผนโบราณ เภสัชกรรมแผนโบราณ ผดุงครรภ์แผนโบราณ และสาขานวดแผนโบราณ ดังนั้นทั้งการปรุงยาและการขายและโฆษณายาต่างๆ จึงถูกควบคุมด้วยพระราชบัญญัติการแพทย์มาตั้งแต่ครั้งรัชกาลที่ ๖ และร้านหมอหวานก็อยู่ในขอบข่ายของการควบคุมดังกล่าว โดยการทำใบอนุญาตถูกต้องตามกฎหมาย

โดยนิยามหมอโบราณหรือหมอแผนโบราณที่ถูกต้องตามพระราชบัญญัติควบคุมกรประกอบโรคศิลปตามกฏหมาย มีใบอนุญาตประกอบโรคศิลปะได้จะต้องตรวจโรค รักษาโรคได้ตามหลักโบราณที่สืบเนื่องกันมา ใช้ยารักษาโรคต้องใช้สมุนไพรที่เป็นพืช สัตว์และแร่ธาตุมาประกอบเป็นยารักษาโรค จะใช้ยาแผนปัจจุบันหรือฉีดยาไม่ได้ ผิดสาขาในการประกอบโรคศิลป เพราะการเรียนรู้นั้นต่างกันกับหมอแผนปัจจุบัน

หมอโบราณจึงใช้ยาหม้อต้ม ยาผง ยาปั้นลูกกลอน บีบนวดและประคบยาสมุนไพรแผนโบราณหมอใช้ผสมเป็นยารักษาโรค หมายถึงนำตัวยาที่เป็นพืช สัตว์และแร่ธาตุ ไปรวมกันแล้วต้มกินน้ำ หรือนำไปบดเป็นผงให้ละเอียดก่อนละลายน้ำดื่มกินและปั้นเป็นลูกกลอนกลืนกิน จะปรุงยาแผนโบราณบรรจุในแคปซูลทำเม็ดเคลือบไม่ได้ เพราะพระราชบัญญัติการประกอบโรคศิลปห้ามไว้

จากหลักฐานที่เหลืออยู่ที่บ้านหมอหวาน คุณภาสินีพบว่ามีหูฟังและปรอทวัดไข้เหมือนแพทย์แผนปัจจุบันและขวดยาที่ตั้งไว้ภายในร้านก็มีตัวอักษรภาษาอังกฤษกำกับอยู่ด้วย ด้วยจากยาที่เป็นยาต้มยาหม้อ ยาผง แต่ส่วนใหญ่ยาที่เหลือติดก้นขวดจะเป็นยาเม็ด และมีบล็อกพิมพ์ แสดงถึงการปรับตัวจากยาไทยให้เป็นยาเม็ดแบบฝรั่ง การตรวจรักษาก็นำการแพทย์แผนตะวันตกเข้ามาผนวก หมอหวานจึงเป็นบุคคลประเภทผสานความรู้ทั้งของดั้งเดิมและแบบแผนสมัยใหม่ในทางการแพทย์แผนปัจจุบันซึ่งเป็นสากลเมื่อเปิดร้านยานี้

5

ภาสินี ญาโนทัยและหุ้นส่วนที่เริ่มฟื้นร้านยาหมอหวานขึ้นมาใหม่

การแพทย์ท้องถิ่นและการรักษาโดยยาท้องถิ่นถือเป็นส่วนหนึ่งในชีวิตของผู้คนที่สืบทอดกันมาและมักเป็นความรู้ที่อยู่กับวัด อันเป็นสถานศึกษาแบบเดิม มีตำรายาต่างๆ มากมายที่เก็บรักษาไว้ตามวัด หมอสมุนไพรก็มักเป็นพระสงฆ์ตามวัดเช่นกัน นอกจากนี้ยังมีตระกูลของหมอยาผู้รู้ต่างๆ เก็บรักษาตำรายาและความรู้อยู่ในตระกูลตามบ้านอีกจำนวนมาก การรักษานั้นส่วนใหญ่ควบคู่ไปกับการรักษาแบบจารีตและความเชื่อ จึงดูไม่เป็นสากลแบบสมัยใหม่ตามระบบวิธีคิดแบบวิทยาศาสตร์ที่เป็นกระแสครอบงำโลกยุคสมัยใหม่ [Modernization] ในช่วงเวลาดังกล่าว

เมื่อมีกฎหมายควบคุม หมอไทยและหมอพื้นบ้านเริ่มรู้สึกไม่มั่นคงในอาชีพ บางส่วนต้องหลบ ๆ ซ่อน ๆ ทำ เพราะส่วนใหญ่เป็นการรับสืบทอดความรู้และการฝึกฝนกันในตระกูลหรือเรียนจากพระจากตำราวัด และไม่ได้เรียนในระบบและมีใบอนุญาตประกอบโรคศิลปะ ปรุงยาก็กลัวว่าจะมีความผิด ทำให้บางส่วนก็เลิกอาชีพไป ตำรายาหลายขนานก็หายไป จนเริ่มมีความนิยมนำยาไทย สมุนไพรต่างๆ มาเผยแพร่อีกครั้งโดยการแพทย์ทางเลือกที่มีการผลิตสมุนไพรต่างๆ และแพทย์แผนไทยที่เปิดสอนในหลายสถาบันในระยะราว ๒๐-๓๐ ปีที่ผ่านมา

คุณภาสินีได้รับรู้จากคำบอกเล่าของบรรพบุรุษว่า หมอหวานมีโอกาสได้ถวายการรักษาสมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยาเทวะวงศ์วโรปการ เสนาบดีกระทรวงการต่างประเทศ และได้รับพระราชทานกล่องไม้จากพระธิดาพระองค์หนึ่งว่า “ขอบใจหมอหวาน ที่ช่วยปรนนิบัติเสด็จพ่อ เมื่อคราวประชวร”

หมอหวานอาจจะเข้าไปตรวจรักษาพระองค์ท่านเมื่อคราวประทับอยู่ที่วังเดิมเชิงสะพานถ่านหรือวังสะพานถ่านที่ตั้งอยู่บนถนนตีทองไม่ไกลจากบ้านหมอหวานที่ถนนอุณากรรณนัก ก่อนที่พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวสร้างวังพระราชทานบนที่ดินพระราชทานจากพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว และย้ายไปประทับอยู่ ณ วังเทวะเวศม์ แถบบางขุนพรหม เมื่อ พ.ศ. ๒๔๕๗ ก่อสร้างเสร็จเมื่อ พ.ศ. ๒๔๖๑ ต่อมาบริเวณวังสะพานถ่านต่อมาถูกรื้อและกลายเป็นตลาดบำเพ็ญบุญ

สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยาเทวะวงศ์วโรปการ และตลาดบำเพ็ญบุญ

หมอหวานปรุงยาแผนโบราณหลายตำรับ ทั้งยาระบาย ยากวาดคอเด็ก ยาหอม ยาแก้ปวดหัวตัวร้อน เป็นร้านยาสำหรับชาวบ้านในพระนครทั่วไป มีคนไข้มารักษาที่บ้านบ้าง มาซื้อยาไปรักษาเองบ้าง บ้านหมอหวานจึงเป็นทั้งคลีนิครักษาและสถานที่ปรุงยา และเมื่อย้ายสถานที่อยู่อาศัยและปรุงยาจากมุมถนนอุณากรรณมาเป็นถนนตีทองและบำรุงเมือง ฉลากยาก็เปลี่ยน

ฉลากยาที่เหลืออยู่และจัดเก็บเป็นสิ่งของในพิพิธภัณฑ์ร้านยาหมอหวาน

ในฉลากยาจะมีเขียนไว้ว่าขายส่งขายปลีก และน่าจะขายดีมากเพราะเพราะมีการปลอมเกิดขึ้น ต้องทำฉลากยาที่บางชิ้นเขียนว่า “ของหมอหวานแท้ต้องมีตราหมอหวาน” ลงในเอกสารกำกับยาซึ่งจะเว้นที่ไว้ เข้าใจว่าเตรียมไว้สำหรับเอาตราประทับลงไป พบตราประทับประมาณ ๔-๕ แบบ แบบแรกๆ จะเป็นแบบลายมือ แล้วพัฒนามาเป็นแบบกึ่งพิมพ์ ซึ่งพิมพ์ที่ถนนตีทองนี่เอง ยาหมอหวานจึงมียี่ห้อขึ้นมาในช่วงนั้น และถึงช่วงเวลาที่กำลังสร้างตึกหลังนี้ ก็เริ่มมีการใส่ประโยคที่ว่า “บำรุงชาติสาสนายาไทย” ลงไปในเอกสารกำกับยาตั้งแต่อยู่ที่ถนนอุณากรรณก่อนย้ายมาที่นี่

และตำรับ “ยาหอมมหาสว่างภพ” มีเอกสารกำกับยาเป็นเล่มเพราะสรรพคุณมากมายและพิมพ์เป็นจำนวนมาก สันนิษฐานว่าน่าจะเป็นตำรับยาหอมที่ขายดีที่สุด

คุณภาสินียังค้นพบเรื่องราวของหมอหวานด้วยตนเองต่อไปอีกคือ โครงสร้างของบ้านหมอหวานแบ่งออกเป็นสองส่วนชัดเจน แต่หากมองจากด้านหน้าเข้ามาแล้วเหมือนมีเพียงตึกเดียวที่คงออกแบบโดยสถาปนิกชาวต่างชาติ โดยเฉพาะชาวอิตาเลียนซึ่งเข้ามารับราชการและที่ทำการรัฐบาล อาคารวังต่างๆ รวมทั้งออกแบบตึกแถวร้านค้า ซึ่งร้านหมอหวานก็น่าจะเป็นการออกแบบของสถาปนิกชาวต่างชาติท่านหนึ่งท่านใดในยุคนั้น ถัดไปคือบ้านไม้ที่เป็นเรือนพักอาศัยของคนในบ้าน ตัวตึกนั้นคงตั้งใจจะทำให้เป็นร้านขายยาแบบตะวันตกที่มีหน้าร้าน มีบานประตูสูง ด้านข้างมีการจัดแสดงสินค้าหน้าร้าน วางขวดยาเพื่อให้ทราบว่าที่นี่คือร้านขายยา ภายในร้านมีเคาท์เตอร์ยา ข้างหลังเคาท์เตอร์จะเป็นตู้ยาวางแสดงขวดยาหรือตัวยาต่างๆ และเมื่อตรวจสอบเอกสารเก่าๆ ดูก็พบว่ามีตำรายาที่จดในสมุดฝรั่งบ้าง แต่สมุดไทยแบบผูกมากที่สุด และน่าจะเป็นสูตรยาหอมและมีหลายตำรับซึ่งยังตกทอดมาจนปรุงอยู่ถึงปัจจุบัน

หมอหวานมีบุตรสาวที่เป็นคุณยายของคุณภาสินี ซึ่งรับสืบทอดการปรุงยาร้านหมอหวานสืบมา โดยแต่งงานและมีบุตร ๓ ท่าน หนึ่งในหลานสาวของหมอหวานคือคุณป้าออระ วรโภค คุณป้าของคุณภาสินี ซึ่งเกิดทันได้เห็นได้พบคุณตาคือหมอหวาน จำได้ว่าท่านเป็นคนที่พูดน้อย หน้าไม่หน้ายิ้ม เหมือนเป็นผู้ใหญ่ที่ดุ อาเจ็กที่ขายยาพวกเครื่องยาสมุนไพรตรงเสาชิงช้าเล่าให้คุณภาสินีฟังว่า เมื่อครั้งเป็นวัยรุ่นก็เคยพบหมอหวาน ท่านมักเดินไปซื้อเครื่องยามาปรุงยาด้วยตัวเองเป็นประจำ

8

หลานสาวหมอหวาน คุณป้าออระ วรโภค

ในช่วงสงครามโลกครั้งที่ ๒ โรงเรียนต่างปิดการเรียนการสอนเพราะกลัวระเบิดลง คุณยายของคุณภาสินีเห็นว่าอยู่กรุงเทพฯ ไม่ปลอดภัย ก็พาลูกๆ และคุณพ่ออพยพไปอยู่ต่างจังหวัด ครั้งแรกไปอยู่ที่คลองหก ปทุมธานี หลังที่ว่าการธัญบุรี อยู่ประมาณ ๔-๕ เดือน แล้วกลับมาบ้าน อยู่ได้ไม่เท่าไหร่พอระเบิดลงหนัก ก็ต้องอพยพไปอยู่ต่างจังหวัดอีกไปไกลถึงจังหวัดนครนายก ระหว่างนั้นก็มีคนเฝ้าบ้านเป็นผู้ชายอยู่เฝ้าบ้านและช่วยขายยาหอมให้ด้วยเนื่องจากช่วงสงครามที่ไม่สะดวกหลายประการ ผู้คนเจ็บป่วยก็ต้องใช้ยาของไทย ยาที่ร้านหมอหวานจึงขายดีกว่าปกติ

หลังจากสงครามสงบและหมอหวานกลับมาพักที่บ้านแล้ว ท่านก็ถึงแก่กรรมที่บ้านซึ่งท่านสร้างขึ้นมา เมื่อ พ.ศ. ๒๔๘๘ รวมอายุของท่านราวๆ ๗๗ ปี

คุณป้าออระ วรโภค หลานสาวหมอหวานเคยนั่งรถรางไปเรียนที่โรงเรียนเบญจมราชาลัยย่านเสาชิงช้าที่อยู่ไม่ไกลบ้านนัก และสอบเข้าได้ที่คณะวิศวกรรมศาสตร์ จุฬาลงกรณมหาวิทยาลัย ในยุคสมัยที่ผู้หญิงมีอยู่ไม่กี่คน ด้วยบรรยากาศเช่นนั้นจึงลาออกเพื่อไปสอบใหม่ที่คณะพาณิชย์ศาสตร์และการบัญชี มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์แทน แล้วจึงข้ามฝั่งไปทำงานที่ศิริราช เป็นเลขาของคณบดีคณะเทคนิคการแพทย์ มหาวิทยาลัยมหิดล เงินเดือนเดือนแรกที่ได้เอามาให้คุณแม่ซื้อเครื่องบดยา ไฟฟ้าที่ไม่ต้องใช้แรงคน เพราะมีแต่ผู้หญิงในบ้านเป็นส่วนใหญ่ การใช้แรงใช้กำลังจึงเป็นงานหนักเกินกำลังมากไป และเมื่ออายุ ๒๖-๒๗ ปี ท่านไปเรียนเรียนเภสัชกรรมไทยที่วัดโพธิ์ เพื่อให้ได้ใบประกอบโรคศิลป์ และรู้เรื่องราวเกี่ยวกับสมุนไพรและการปรุงยาที่มีการสอนกัน ช่วงนี้เป็นยุคที่ร้านหมอหวานยังมีลูกจ้างช่วยงานและการขายยายังเป็นไปด้วยดี เป็นรายได้หลักของครอบครัว

คุณยายและคุณป้าของคุณภาสินีที่เป็นผู้หญิงทั้งนั้นและมีลูกมือท่านหนึ่งที่เป็นเสมือนเครือญาติ แต่ก็มีงานประจำมาช่วยหั่นยา บดยา ปรุงยาในช่วงวันเสาร์อาทิตย์ ซึ่งต้องใช้แรงงานมาก หลังจากหมอหวานเสียชีวิตไปแล้ว

อย่างไรก็ตาม แม้จะมีการผลิตลดลงไปจากเดิมมาก ยาบางตำรับก็ไม่ได้ทำเหมือนเช่นในสมัยหมอหวานยังมีชีวิตอยู่ แต่พอราว พ.ศ. ๒๕๒๖ บุตรสาวของหมอหวานที่เป็นคุณยายของคุณภาสินีเสียชีวิตลง จึงถึงจุดเปลี่ยนเพราะคุณป้าออระและคุณแม่คุณภาสินีไม่สามารถรับช่วงมาทำได้แบบประจำ จึงคิดว่าจะยุติกิจการไปและคืนทะเบียนทุกอย่างหมด แต่ลูกค้ากลุ่มที่ซื้อเก่าแก่ก็ยังขอให้ทำขาย แต่ผลิตกันอย่างไม่เป็นทางการรู้กันเองในหมู่ของลูกค้าเก่าแก่ จนเมื่อราว ๗ ปีที่แล้ว คุณภาสินี ญาโณทัยจึงลาออกออกจากงานประจำก็มาทำเต็มตัว สานต่อกิจการที่แทบจะเลิกไปทั้งหมดแล้วขึ้นมาใหม่ เพราะรู้สึกเสียดาย

ภาสินี ญาโณทัย เหลนหมอหวาน ผู้ฟื้นยาหอมหมอหวานและกิจการ
“บำรุงชาติ สาสนา ยาไทย”

“ตอนเด็กๆ คุณพ่อคุณแม่จะพามาอยู่กับคุณยายในช่วงวันหยุดเสาร์อาทิตย์”
คุณภาสินี เล่าให้ฟังถึงความประทับใจครั้งหลังที่ได้เติบโตในบางส่วนเสี้ยวของชีวิตที่บ้านหมอหวานแห่งนี้ จนถึงเมื่อตัดสินใจบอกกับทางบ้านว่าจะขอลาออกจากงานประจำเพื่อมาดำเนินกิจการร้านหมอหวานอย่างเต็มที่เมื่อ ๗ ปีที่แล้ว

โดยเริ่มเห็นว่ากิจการหลายอย่างเลิกทำเพราะไม่มีลูกหลานทำต่อ เมื่อบอกคุณแม่ว่าจะออกจากงาน ทุกคนไม่เห็นด้วยเพราะมีอาชีพรับราชการกันหมด แต่ก็ต้องให้ทำ โดยเริ่มจากการเรียนรู้ปรุงยา ลงมือทำ ช่วงเริ่มต้นมีความสุขมาก เพราะหลายๆ อย่างที่คิดฝันไว้ว่าเราอยากจะทำก็มีโอกาสลงมือทำ

4

ภาสินี ญาโนทัย เหลานตาหมอหวาน

มีคนนี้มาชวนทำนิทรรศการเรื่องยาหอมหรือการไปออกบูธ เทดสอบว่ามีการตอบสนองอย่างไรเมื่อเห็นยาแผนโบราณของหมอหวาน หรือลการเริ่มทำบรรจุภัณฑ์ที่เรารู้สึกว่าเล่าเรื่องอย่างที่เราอยากจะเล่าได้ เป็นเชิงทดลองในสิ่งที่คิดเอาไว้ เป็นจังหวะดีมาก ๆ เพราะสื่อสนใจก็เลยทำให้มีลูกค้ากลุ่มใหม่ที่เห็นจากสื่อเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ

ระยะแรกจึงเป็นเรื่องของการเผยแพร่สื่อสารและสร้างแบรนด์ มีการออกแบบผลิตภัณฑ์ให้ดูน่าสนใจมากขึ้น และมีการไปเรียนแพทย์แผนไทยมาเพิ่มเติมโดยผู้ร่วมงาน

แต่ว่าพอช่วงที่ ๒ ก็เป็นช่วงของการที่คิดเรื่องวัตถุดิบที่มีราคาสูง เพราะยาหอมของเราใช้วัตถุดิบหลายตัวซึ่งมีราคาสูงทำให้โอกาสที่คนจะเข้าถึงยาเราจะได้เฉพาะกลุ่ม จึงคิดว่าทำยังไงที่ให้เราปรุงยาที่มีสรรพคุณและราคาไม่แพง อาจเป็นตำรับใกล้เคียงกัน วัตถุดิบที่ใช้ไม่ต้องใช้ตัวที่มีราคาสูงมาก รวมถึงเราไปแก้โจทย์เรื่องความยากที่คนจะใช้ยาหอมด้วยรสชาติรูปแบบหรือทัศนคติที่มองว่าเป็นยาของคนสูงวัย ก็เลยออกผลิตภัณฑ์ใหม่ “ลูกอมชื่นจิตต์” ซึ่งเป็นส่วนผสมของยาหอม แต่มีสรรพคุณแก้ท้องอืดช่วยย่อย เหมือนเป็นการสร้างผลิตภัณฑ์ขึ้นมาจากฐานเดิม

ต่อมาคือการปรับปรุงอาคาร เพราะเคยเป็นทั้งบ้านพักอาศัยและเป็นร้านขายยา แต่ในยุคคุณยายใช้ปรุงยา แล้วก็เลี้ยงลูก ๓ คน จึงมีความเป็นบ้านมากกว่า ในยุคคุณป้าลูกค้ามาซื้อก็แทบจะไม่ให้เข้ามาในบ้าน แต่ในยุคที่มาสานต่อ ก็ไปเจองานวิจัยเล่มหนึ่งซึ่งพูดถึงวัฒนธรรมใช้ยาหอมในสังคมไทย การทำให้ยาหอมดำรงอยู่ได้บางทีต้องนำเสนอในเรื่องสรรพคุณในเชิงวัฒนธรรม ตัวอาคารเป็นสถานที่จริงใช้ในการปรุงยามาตั้งแต่อดีตและเป็นที่อยู่อาศัยของหมอ ก็ตั้งใจจะทำตรงนี้ให้เป็นสถานที่ซึ่งจะมาแวะเยี่ยมมาท่องเที่ยวได้ในย่านเก่าเมืองเก่า

รูปแบบตัวบรรจุภัณฑ์ต่างจะเล่าเรื่อง ผ้าขาวบางที่ใช้กรองผงยาหอม กล่องได้แรงบันดาลใจจากกล่องที่หมอหวานได้รับพระราชทาน เป็นขวัญที่คนสมัยก่อนนิยม ยาหอมเป็นยาที่มีตำรับเรื่องช่วยความสดชื่น ชื่นชมให้กำลังใจ ก็ให้ยาหอมกัน ดังนั้นจึงทำบรรจุภัณฑ์เพื่อไปให้เป็นของขวัญ ตอนนี้ได้รับการสนับสนุนจากทั้ง ททท. และกองการท่องเที่ยวของ กทม. เวลามีกิจกรรมที่เขาจะต้องเดินเที่ยวย่านเก่ากัน คนก็จะมาแวะพัก เรามีสาธิตการปรุงยาหอมสั้นๆ ให้ชมด้วย

คุณภาสินีเล่าให้ฟังว่าลูกค้ากลุ่มใหม่จึงไม่ได้จำกัดเฉพาะคนสูงอายุ คนทำงานหรือแม้กระทั่งวัยรุ่นก็อาจจะมีอาการที่เกิดจากธาตุลมทำงานไม่ปกติก็ได้ เราก็อธิบายให้เขารู้ว่า ยาหอมไม่ใช้เรื่องล้าสมัย ไม่ว่าจะต่อไปอีก ๕ ปี ๑๐ ปี อาการเหล่านี้ก็จะเกิดขึ้นได้ พออายุมากขึ้นมักจะเกิดอาการแน่นท้อง เครียด มึนศีรษะ ลูกค้ากลุ่มใหม่จะเป็นกลุ่มอายุน้อยลง มีความชอบหลากหลายมากขึ้น บางกลุ่มจะเข้ามาในลักษณะชอบบ้าน เป็นอาคารโบราณ สถาปัตยกรรมแบบโคโลเนียล บางคนชอบบรรจุภัณฑ์ที่ใส่ยาหอม เมื่อได้รับรู้ถึงภูมิปัญญาของคนสมัยก่อน แม้ว่าเขาจะไม่เคยทานยาหอม แต่เขาซื้อไปฝากญาติผู้ใหญ่ ฝากคนเฒ่าคนแก่

“ยาหอม” ยาสารพัดนึกของคนไทย

ยาหอมนั้นถือกำเนิดในสังคมไทยมานาน กล่าวกันว่าเริ่มแรกมีใช้เฉพาะในราชสำนักและข้าราชบริพาร เนื่องจากตัวยาที่นำมาปรุงยาหอมหายากและราคาแพง ต้องนำเข้าจากต่างประเทศ เช่น จีน อินเดีย ยาหอมจึงถือเป็นของสูงค่า ต่อมายาหอมเริ่มแพร่กระจายสู่สามัญชน เพราะการสาธารณสุขในยุคแรกเริ่มมีการสถาปนา “กรมพยาบาล” ขึ้นใน พ.ศ. ๒๔๓๑ โดยมีพระเจ้าน้องยาเธอ พระองค์เจ้าศรีเสาวภางค์ ดำรงตำแหน่งอธิบดีคนแรก จัดให้มีการผลิตยาตำราหลวงและตั้ง “โอสถศาลา” ขึ้นเพื่อเป็นที่สะสมยาและเวชภัณฑ์ เพื่อใช้ในสถานพยาบาลและองค์การต่างๆ ของรัฐบาล “ยาหอม” จากราชสำนักจึงแพร่หลายกลายเป็นยาสามัญประจำบ้าน

“ยาหอม” และ “ยาลม” หมายถึง ตำรับยาที่ประกอบด้วยตัวยาหลายชนิด โดยส่วนใหญ่มีกลิ่นหอม และมีรสรวมของตำรับ คือ รสสุขุม เพื่อปรับการทำงานของลมชนิดต่างๆ ให้เข้าสู่สภาวะปกติ แพทย์แผนไทยสมัยก่อนต้องมียาหอม ยาลม ประจำล่วมยา เพื่อใช้รักษาเบื้องต้นร่วมกับน้ำกระสายยา แล้วค่อยจ่ายยาต้มตามภายหลัง

ตามหลักทฤษฎีการแพทย์แผนไทย โรคลม มี ๒ ประเภท คือลมกองหยาบ กับลมกองละเอียด
ลมกองหยาบ คือ  ลมหายใจเข้าออก ลมในท้องและลำไส้ มักจะมีอาการจุก แน่นท้อง คลื่นไส้ อาเจียน เรอ และผายลม

ลมกองละเอียด คือ  ลมที่ก่อให้เกิดอาการหน้ามือตาลาย เวียนศรีรษะ ใจสั่นสวิงสวาย อ่อนเพลีย คลื่นไส้อาเจียน ตกใจ เสียใจ แพ้ท้อง และทำงานกลางแดดจัดนานๆ

หากธาตุลมปกติ ก็จะทำให้ร่างกายทำงานได้อย่างปกติสมดุลตามไปด้วย แต่หากลมนั้นผิดปกติไป เช่น มีการกำเริบ หย่อน หรือพิการ ก็ส่งผลกระทบทำให้ร่างกายเสียสมดุล และทำงานผิดปกติตามไปด้วย ซึ่งในกรณีลมผิดปกติดังกล่าว ยาหอม คือ ยารสสุขุม กลิ่นหอม

ยาหอมเป็นเอกลักษณ์การปรุงยาที่ปรับปรุงขึ้นตามแบบแพทย์แผนไทย ซึ่งมีความเป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัว โดยไม่พบการใช้ยาหอมในแพทย์แผนอื่นๆ

ยาหอมถูกกำหนดให้เป็นยาสามัญประจำบ้านแผนโบราณ สามารถจำหน่ายได้ทุกสถานที่ หมอแผนโบราณใช้รักษาอาการไข้ บำรุงหัวใจ บำรุงครรภ์ แก้ลมวิงเวียน มีอยู่ ๔ ตำรับที่ขึ้นทะเบียนไว้ที่ อย. (องค์การอาหารและยา) คือ ยาหอมเทพจิตร ยาหอมทิพโอสถ ยาหอมอินทจักร์ ยาหอมนวโกฐ เป็นตำรับที่ใครก็สามารถลอกนำไปใช้ได้ เป็นสูตรยาตายตัว ซึ่งจะเป็นกลุ่มยาสมุนไพรที่มีกลิ่นหอม แต่ปัจจุบันได้มีการกำหนดสรรพคุณใหม่ให้เป็นยาที่สรรพคุณแก้ลมวิงเวียน ยังมีแต่ตำรับ “ยาหอมเทพจิตร” เท่านั้นที่ระบุสรรพคุณชัดเจนว่าใช้บำรุงหัวใจ

ตำรับยาหอมในหนังสืออายุรเวทศึกษา พอจะอนุมานได้ว่า ยาหอมมีส่วนประกอบหลักอยู่ ๓ ส่วน คือ
๑. เป็นยารสสุขุม มีกลิ่นหอม โดยอาศัยกลิ่น รส และ สรรพคุณจากสมุนไพรบางกลุ่ม เช่น เกสรทั้ง ๕ โกฐทั้ง ๕ เทียนทั้ง ๕ อบเชย ขอนดอก กระลำพัก กฤษณา ชะลูด เป็นต้น

๒. เป็นยาที่ใช้ปรับความสมดุลของธาตุทั้ง ๔ (ดิน น้ำ ลม ไฟ) ในกาย ซึ่งอาจเกิดจากการผิดปกติ หรือการแปรผันไปตามสภาพอากาศของฤดูกาล โดยอาศัยกลุ่มพิกัดยาบางพิกัดเข้ามาเกี่ยวข้อง คือ พิกัดเบญจกูล พิกัดตรีผลา พิกัดตรีกฎุก พิกัดตรีสาร เป็นต้น

๓. เป็นยาที่ใช้ในการแก้อาการที่ต้องการรักษาโดยตรง เช่น วิงเวียน จุกเสียด ใจสั่น ปวดศีรษะ ฯลฯ
หากนำกลุ่มอาการที่เกิดจากโรคลมทั้ง ๒๓ กองมาวิเคราะห์ตามหลักการแพทย์แผนปัจจุบันแล้วจะสามารถเทียบเคียงได้กับกลุ่มอาการของโรคดังนี้

อาการบ้านหมุน [Vertigo], อาการใจสั่น [Papitation], อารมณ์เครียด [Einolional Stress], ปวดศรีษะ [Headache]

ยาหอมตำรับหมอหวาน

ในท้องตลาดจึงมียาหอมหลากหลายสูตรให้เลือกซื้อหา แบ่งออกเป็นยาหอมที่มุ่งแก้ลมกองหยาบ และกองละเอียด คนที่เป็นลมซึ่งเกิดจากลมกองหยาบจะมีอาการคลื่นไส้ ท้องเฟ้อ ส่วนคนที่เป็นลมซึ่งเกิดจากลมกองละเอียดเป็นลมเบื้องสูง มีอาการแน่นหน้าอกใจสั่น วิงเวียนหน้ามืด

ยาหอมทั่วไปมีสมุนไพรที่มุ่งเน้นแก้ลมกองหยาบ ส่วนตัวยาแก้ลมกองละเอียดมีน้อย เพราะตัวยาแพง หากไปขายในท้องตลาดราคาแพงจะขายยาก หนึ่งในจำนวนยาหอมโบราณ มียาหอมตำรับหมอหวานที่ขึ้นชื่อด้วยสรรพคุณในการรักษามุ่งเน้นแก้ลมกองละเอียด จึงมีราคาค่อนข้างสูงกว่ายาหอมทั่วไป

สมัยที่หมอหวานมีชีวิตอยู่ สืบเนื่องมาจนกระทั่งคุณยายเฉื่อยมารับช่วงปรุงยาต่อนั้นเป็นช่วงที่มีตำรับยาแผนโบราณหลายขนาน มีทั้งยาสำหรับเด็กเช่น ยากวาดคอเด็ก และยาสำหรับผู้ใหญ่ เช่น ยาลดไข้ ยาหอม ช่วงที่คุณยายเสียชีวิต คุณป้าออระมารับช่วงต่อ การปรุงยาอาจจะขาดช่วงไป เพราะคุณป้าทำงานประจำ ไม่ค่อยมีเวลา การปรุงยาหลายขนานจึงต้องเลิกไปเหลือเพียงยาหอมโบราณเพียง ๔ ตำรับของหมอหวาน ซึ่งเคยได้รับความนิยมอย่างมากในอดีต ปัจจุบันยังคงมีการถ่ายทอดทั้งกรรมวิธีและกระบวนการผลิตแบบดั้งเดิม ด้วยเครื่องมือโบราณที่ใช้ในการปรุงยาขายให้กับลูกค้ามากว่าร้อยปี

ตำรับยาหอมของหมอหวาน ๔ ตำรับ ได้แก่

๑. ยาหอมสุรามฤทธิ์ แก้อาการใจสั่น เป็นลม บำรุงหัวใจ ทานเมื่อมีอาการครั้งละ ๑ เม็ด มีตัวยาสำคัญ คือ โสม เกาหลี พิมเสนเกล็ด อำพันทอง หญ้าฝรั่น ชะมดเช็ด คุลิก่า

๒. ยาหอมอินทรโอสถ แก้เหนื่อยอ่อนเพลีย แก้ไอ แก้เสมหะ ทานเมื่อมีอาการครั้งละ ๓-๕ เม็ด ตัวยาสำคัญได้แก่ รากฝากหอม อบเชยญวน เห็ดนมเสือ หญ้าฝรั่น ชะมดเช็ด โคโรค

๓. ยาหอมประจักร์ แก้จุกเสียดแน่นท้อง คลื่นไส้อาเจียน ทานเมื่อมีอาการครั้งละ ๕-๙ เม็ด ตัวยาสำคัญได้แก่ โสมเกาหลี พิมเสนเกล็ด ชะมดเช็ด หญ้าฝรั่น เหง้าขิงแห้ง

๔. ยาหอมสว่างภพ แก้อาการวิงเวียนหน้ามืด แก้ไขสวิงสวาย ทานเมื่อมีอาการครั้งละ ๕-๗ เม็ด ตัวยาสำคัญได้แก่ ใบพิมเสน พิมเสนเกล็ด หญ้าฝรั่น โสมเกาหลี ชะมดเช็ด

ยาหอมทั้ง ๔ ตำรับ มีสรรพคุณที่คล้ายคลึงกันคือ เน้นการบำรุงหัวใจ บำรุงธาตุในร่างกายให้ทำงานเป็นปกติ แต่เพื่อความสะดวกในการเลือกใช้ของคนในยุคปัจจุบัน เราจึงพยายามจำกัดข้อความและสรรพคุณของยาแต่ละขนานให้ชี้เฉพาะเจาะจง เช่นยาหอมสุรามฤทธิ์ มีสรรพคุณแก้อาการใจสั่น เป็นลมหมดสติ จุกแน่นหน้าอก

“ยาหอม” มีตัวยาหลายชนิดที่หายากมาก บางอย่างต้องสั่งซื้อจากต่างประเทศ เช่น “หญ้าฝรั่น” ที่มีราคาแพงมาก สรรพคุณใช้บำรุงหัวใจ หญ้าฝรั่นที่มีคุณภาพดีต้องมาจากสเปน กล่องหนึ่งน้ำหนักประมาณ ๔๐-๕๐ กรัม ราคา ๑๒,๐๐๐ บาท ราคาสูงมาก เป็นตัวยาสำคัญทางร้านไม่ต้องการลดทอนปริมาณตัวยาลง

การปรุงยาแต่ละขนานต้องใช้ตัวยาจำนวนมาก ผู้ที่บดยาต้องใช้พละกำลังอย่างมาก ส่วนใหญ่จึงต้องให้ผู้ชายเป็นคนบดยาโดยใช้หินบดยา ส่วนวัตถุดิบหรือตัวยาต่างๆ ในสมัยก่อนมีชาวบ้านนำวัตถุดิบมาส่งให้ที่ร้านโดยตรง ดังนั้นโอกาสที่จะเลือกเฟ้นหาวัตถุดิบดีๆ ที่มีคุณภาพมีลักษณะตรงตามตำรับยาตามสรรพคุณที่ระบุไว้ได้ง่าย แต่ในปัจจุบันวัตถุดิบถูกขนส่งมาเป็นทอดๆ กว่าจะมาถึงมือเราก็ต้องผ่านพ่อค้าคนกลางมาถึงร้านค้า เราจึงมีโอกาสเลือกได้น้อยกว่า สิ่งที่พอจะทำได้คือสั่งซื้อจากร้านขายยาที่เราซื้ออยู่เป็นประจำ เช่น ร้านเจ้ากรมเป๋อ และร้านค้าสมุนไพรโบราณอื่นๆ

ปกติเมื่อยาเหลือน้อย ทางร้านก็จะผลิตเพิ่ม เคยมีบางครั้งต้องรอตัวยาสำคัญในการผลิตเป็นเวลานาน จนรู้สึกกังวลกลัวว่าจะผลิตไม่ทัน บางครั้งดินฟ้าอากาศไม่อำนวย เช่นฝนตกไม่มีแดดพอที่จะตากเครื่องยาก็เป็นอุปสรรคในการปรุงยาเนื่องจากเครื่องยาส่วนที่เป็นสมุนไพรต้องตากแดดให้กรอบเพื่อที่จะบดได้ง่าย เมื่อบดเสร็จต้องนำมากรองส่วนละเอียดออกมา สำหรับส่วนที่หยาบก็นำไปบดใหม่ ทำอย่างนี้หลายๆ ครั้งให้เหลือน้อยที่สุด จนกระทั่งขั้นตอนการผสมยาโดยใช้หินบดยา ซึ่งต้องใช้แรงผู้ชายบดตัวยาให้เข้ากัน เสร็จแล้วนำมาผสมลงในโกร่งบดยาอีกครั้งหนึ่ง เป็นขั้นตอนที่ใส่ส่วนผสม เช่น พิมเสน หญ้าฝรั่น ชะมดเช็ด แล้วนำผงยาที่กรองไว้ผสมกับตัวยาอื่นๆ อีกหลายสิบอย่าง ระยะเวลาตั้งแต่ซื้อเครื่องยาจนกระทั่งผลิตออกมาเป็นเม็ดยา ต้องใช้เวลานานเป็นสัปดาห์ แล้วแต่ว่ายาขนานใดใช้ตัวยามากน้อยเพียงใด

ยาที่ผสมแล้วจะมีลักษณะคล้ายดินเหนียว นำมาหั่นเป็นชิ้นๆ แล้วนำมาปั้มเป็นเม็ดทีละเม็ด เมื่อทำเสร็จแล้วต้องนำมาตากแดดอ่อนๆ อีกครั้งเพื่อไล่ความชื้น ห้ามตากแดดแรง เพราะกลิ่นของยาหอมจะระเหยไปหมด แล้วค่อยทยอยนำยาหอมที่หั่นไว้เป็นชิ้นๆ มาผสมกับน้ำดอกไม้เทศ แล้วปั้นทีละเม็ด เครื่องปั้มก็ต้องใช้มือ เราไม่มีเครื่องจักรในการผลิตเลยแม้แต่น้อย เมื่อได้เม็ดยาแล้วนำมาใส่โถอบเก็บไว้ แล้วจึงนำมาบรรจุลงขวดหรือใส่ซองยาหอมสามารถเก็บไว้ได้นานนับปี แต่ที่สำคัญอย่าให้ถูกความชื้นและห้ามเก็บในตู้เย็น ช่วงฤดูฝนก็อย่าให้ถูกละอองฝน ยาหอมจะชื้นและสูญเสียสรรพคุณในที่สุด

ตัวยาหายากและราคาแพง เช่น
“ชะมดเช็ด” เพราะเป็นตัวยาที่หายากและราคาแพง ในสมัยก่อนหมอหวานจึงเลี้ยงชะมดไว้ในกรงที่บ้าน เมื่อชะมดโตขึ้นจะขับไขสีขาวลักษณะคล้ายสีผึ้ง ขับออกทางผิวหนังตรงช่องอวัยวะเพศ เมื่อเวลาที่ชะมดถ่ายแล้ว ชะมดจะไปเช็ดกับกรง สิ่งที่ชะมดเช็ดไว้เป็นไขสีขาวเข้มข้นติดกับกรง จะเอาไม้มาขูดตามกรงเพื่อเก็บไป

น้ำมันดังกล่าวจากชะมด หากเป็นช่วงฤดูร้อนชะมดจะไม่ค่อยขับไขนี้ออกมา ตัวยาก็จะขาดตลาด แต่ถ้าเป็นช่วงฤดูหนาวก็จะไม่มีปัญหาเรื่องนี้ สรรพคุณของน้ำมันชะมด ช่วยบำรุงหัวใจ บำรุงกำลัง สิ่งสำคัญที่ได้จากชะมดเช็ดคือกลิ่น ตัวน้ำมันจากชะมดไม่ค่อยมีกลิ่นหอมเท่าใดนัก แต่เป็นตัวช่วยให้ตัวยาอื่นๆ มีกลิ่นหอมทน หอมนาน จะเห็นได้ว่าเครื่องหอมต่างๆ เช่นเทียนหอม น้ำอบไทยจะมีส่วนประกอบของชะมดเช็ดเป็นตัวยาสำคัญ

“คุลิก่า” เป็นเม็ดปรวดหรือเม็ดนิ่ว ในถุงน้ำดีของตัวค่าง ก้อนคุลิก่าหายากจึงมีราคาแพงมาก ตามสรรพคุณยาโบราณ กล่าวว่ามีรสเย็น ใช้เป็นน้ำกระสายยาแทรกยาอื่นๆ เป็นยาดับพิษร้อน ดับพิษกาฬ ดับพิษทั้งปวง กล่าวกันว่าราคากิโลกรัมละ ๑ ล้าน ๒ แสนบาท

“เห็ดนมเสือ” เป็นตัวยาสำคัญใบยาหอมอินทรโอสถ บางช่วงจะหาไม่ได้เลย เพราะเป็นเห็ดที่เกิดจากน้ำนมเสือแม่ลูกอ่อน คัดไหลลงสู่พื้นดิน เมื่อเวลาผ่านไปจึงเกิดเป็นเห็ดต้นกลมสูง รูปร่างคล้ายร่ม มีรากเหมือนต้นไม้ เห็ดนี้มีสรรพคุณบำรุงกำลัง ครั้งสุดท้ายเราได้เห็ดนมเสือที่ฉะเชิงเทรา แปดริ้ว ราคาแพงมาก แต่เราก็ต้องยอมเพราะไม่รู้จะไปหาที่ไหน ต้องอาศัยน้ำนมของเสือโคร่งเท่านั้น เคยมีคนติดต่อสวนเสือที่ศรีราชา เพื่อนำน้ำนมมาเพาะเห็ดนมเสือ แต่ก็ไม่ได้ผล

“อำพันทอง” เป็นของเหลวที่คัดหลั่งจากท้อง(ปลา)วาฬตัวผู้หลังผสมพันธุ์

ข้อมูลสัมภาษณ์
คุณออระ วรโภค
คุณภาสินี ญาโณทัย

อ้างอิง
ประเสริฐ พรหมณี. การรักษาพื้นบ้าน. นิตยสารหมอชาวบ้าน เล่มที่ ๓๙ กรกฎาคม ๒๕๒๕ https://www.doctor.or.th/article/detail/6009
ปราณี กล่ำส้ม. เรื่องเล่าชาวกรุง : ยาหอมตำรับหมอหวาน. วารสารเมืองโบราณ ปีที่ ๓๖ ฉบับที่ ๓ กรกฎาคม – กันยายน ๒๕๕๓
‘ยาหอม’ ลมหายใจแห่งชีวิต. จากหนังสือธรรมลีลา ฉบับที่ ๑๒๔ มีนาคม ๒๕๕๔ โดย สถาบันการแพทย์แผนไทย. MGR Online 4 มีนาคม 2554 16:39 น. http://www.manager.co.th/Dhamma/ViewNews.aspx?NewsID=9540000028417