เอกสารเพื่อประกอบการเสวนาสาธารณะของคนย่านเก่าเมืองกรุงเทพฯ ที่ป้อมมหากาฬ เรื่องตรอกเฟื่องทองและตรอกวิสูตร เมืองเก่ายังไม่ไร้ช่างทอง วันอาทิตย์ที่ ๖ มีนาคม พ.ศ. ๒๕๕๙
วลัยลักษณ์ ทรงศิริ
คลองเมืองชั้นในสุดของกรุงเทพมหานครขุดมาตั้งแต่สมัยกรุงธนบุรี ถูกเรียกเป็นหลายชื่อ เช่น คลองคูเมืองเดิม-คลองโรงไหม-คลองหลอด เริ่มจากท่าช้างวังหน้าทางทิศเหนือไปออกที่ปากคลองตลาดทางทิศใต้ระยะทางราว ๒.๔ กิโลเมตร บริเวณนี้เคยมีชุมชนหลายชาติพันธุ์เข้ามาตั้งถิ่นฐานอยู่อาศัยโดยเฉพาะคนจีนและคนมอญ เมื่อสร้างกรุงเทพมหานครจึงขุดคลองเมืองใหม่ คือ คลองบางลำพู-โอ่งอ่าง จึงมีการได้ย้ายพื้นที่พระบรมมหาราชวังหรือที่ทำการรัฐบาล สร้างวังเจ้านายต่างๆ แล้วย้ายบ้านเรือนของขุนนางและชุมชนชาวจีนในพื้นที่ตั้งแต่บริเวณที่เป็นพระบรมมหาราชวังตามฝั่งน้ำไปทางใต้ ซึ่งปัจจุบันคือบริเวณ พาหุรัดและสำเพ็ง หน้าที่ของคลองคูเมืองเดิมจึงกลายเป็นเส้นทางคมนาคมและขนส่งสินค้าแทนที่คูเมืองและกำแพงป้องกันเมือง
ส่วน “คลองหลอดบน” ที่ปัจจุบันเรียกว่าคลองหลอดวัดราชนัดดาฯ เริ่มแต่วัดบูรณศิริริมคลองเมืองฝั่งนอกขนานกับถนนราชดำเนินกลางมายังวัดมหรรณพาราม ไปออกคลองโอ่งอ่างที่วัดเทพธิดาและวัดราชนัดดาใกล้กับป้อมมหากาฬ อันเป็นบริเวณที่มีการขุดคลองมหานาคผ่านวัดสระเกศไปทางตะวันออกจนจรดคลองผดุงกรุงเกษมที่ขุดในสมัยรัชกาลพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว
และ “คลองหลอดล่าง” ที่ปัจจุบันเรียกว่าคลองหลอดวัดราชบพิธ ขุดจากคลองเมืองเดิมบริเวณหน้าวังสราญรมย์ผ่านวัดราชบพิธฯ ผ่ากลางพระนคร ผ่านหลังวัดสุทัศน์เทพวราราม ผ่านเรือนจำพระนครออกคลองโอ่งอ่างระยะทางราว ๘๐๐ เมตร
แผนที่กรุงเทพมหานคร ย่านสองฝั่งคลองหลอดวัดราชบพิธ
บริเวณตรอกเฟื่องทองและตรอกวิสูตร พ.ศ. ๒๔๔๐
คลองหลอดคือคลองแนวตั้งที่ขุดเชื่อมระหว่างคลองคูเมืองเดิมและคลองคูเมืองใหม่ในครั้งรัชกาลพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกฯ คือ คลองหลอดทั้ง ๒ คลอง ชักน้ำเชื่อมต่อระหว่างคลองคูเมืองเดิมและคลองเมืองใหม่เป็นแนวตรงระยะทางราว ๑.๑ กิโลเมตร ทำหน้าที่คล้ายกับ “คลองท่อ” ที่พระนครศรีอยุธยา เพื่อให้มีน้ำหมุนเวียนตามกระแสน้ำขึ้นน้ำลงไปยังคูคลองสายย่อยต่างๆ ภายในพระนคร และเป็นถิ่นฐานการตั้งบ้านเรือนของชุมชนต่างชาติพันธุ์และบ้านเรือนข้าราชการในยุคสมัยต่างๆ
ย่านสองฝั่งคลองหลอดวัดราชบพิธ
ในช่วงต้นกรุงฯ บริเวณคลองหลอดล่างเมื่อแรกขุดคลองย่านนี้ไม่มีวัดดั้งเดิมก่อนการสร้างกรุงฯ ปากคลองเป็นสวนและบ้านเรือนขุนนางข้าราชการและวังเจ้านาย โดยเฉพาะวังสราญรมย์เป็นสวนกาแฟที่อยู่ใกล้กับพระบรมมหาราชวัง การตั้งถิ่นฐานหนาแน่นอยู่บริเวณปากคลองทั้งสองด้าน มื่อมีการสร้างวัดราชบพิธฯ ในสมัยรัชกาลพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าฯ พร้อมกันกับการตัดถนนจึงเกิดตึกแถวเพื่อทำการค้าและบ้านเรือนริมถนนที่ต้องเดินเข้าตรอกทั้งสองฝั่งริมคลองดังกล่าว
อาณาบริเวณใกล้เคียงในย่านสองฝั่งคลองหลอดวัดราชบพิธฯ มีดังนี้
“ทางฝั่งใต้คลองหลอดวัดราชบพิธฯ” ทางบริเวณบ้านหม้อ ผู้คนในย่านนี้เป็นชาวมอญจากกรุงศรีอยุธยาที่ตามสเด็จสมเด็จพระเจ้าตากสินฯ มาตั้งถิ่นฐานทางฝั่งตะวันออกของแม่น้ำเจ้าพระยาที่ตั้งถิ่นฐานปั้นหม้อและทำเครื่องปั้นดินเผาขาย เป็นชุมชนเก่าตั้งแต่เริ่มสร้างกรุงฯ บริเวณนี้เป็นย่านคนมอญและมีพระยาศรีสหเทพ (ทองเพ็ง) ผู้เป็นต้นสกุล ศรีเพ็ญ เป็นเสนาบดีกระทรวงคลังในรัชกาลพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว นอกจากมีเชื้อสายชาวมอญทางฝ่ายมารดาแล้วยังเป็ยเขยชาวมอญที่บ้านหม้อ และตั้งนิวาสถานใกล้กับปากคลองหลอดวัดราชบพิธฯ จึงรวบรวมชาวมอญก่อสร้างสะพานข้ามคลองคูเมืองเดิมเยื้องกับวัดราชบพิธฯ จึงเรียกกันว่า “สะพานมอญ” ในสมัยรัชกาลที่ ๓ ซึ่งยังคงมีชุมชนมอญอยู่ จนถึงปลายรัชกาลพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวจนถึงต้นรัชกาลพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวที่สภาพบ้านเมืองเปลี่ยนแปลงไปย่านการค้าสำคัญของพระนคร จึงเหลือไว้เพียงชื่อถนนบ้านหม้อ ที่เริ่มจากถนนเจริญกรุงตั้งแต่สี่กั๊กพระยาศรีไปจนถึงถนนจักรเพชร
นอกจากชาวมอญทางฝั่งบ้านหม้อแล้ว ยังมีชาวพวนและลาวเวียงจันทร์ที่ถูกกวาดต้อนมาอาศัยอยู่ในบริเวณนี้พร้อมกับเจ้าอนุวงศ์ในครั้งรัชกาลที่ ๓ โดยเรียกบริเวณนี้ว่าตำบลบ้านลาว และบ้างเรียก “บ้านกระบะ” เพราะทำกระบะไม้ใส่สำรับกับข้าวในครัวเรือนขาย มีหลักฐานว่าเดิมก่อนสร้างถนนเจริญกรุง ถนนดั้งเดิมตั้งแต่ช่วงสี่กั๊กพระยาศรีไปจนถึงกำแพงพระนครบริเวณสะพานดำรงสถิตหรือสะพานเหล็กก็เรียกว่า “ถนนบ้านลาว” ในช่วงรัชกาลที่ ๕ มีบันทึกเอกสารของกรมไปรษณีย์ กรุงเทพมหานคร กล่าวถึงบ้านเรือนของราษฎรที่อยู่ริมคลองหลอดชื่อ นายลา ลาวเวียงจันทน์ ขึ้นพระองค์เจ้าแขไขดวง และเรือนของ พระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้ายุคนธร ซึ่งเป็นพระเจ้าลูกเธอในพระบาทสมเด็จพระปิ่นเกล้าฯ ต้นสกุลยุคนธรานนท์ และผู้อยู่อาศัยที่ส่วนใหญ่ขึ้นอยู่กับกรมพระราชวังบวรฯ ซึ่งขณะนั้นคือกรมพระราชวังบวรวิไชยชาญ วังหน้าองค์สุดท้าย แทบทั้งสิ้น ร่องรอยของชาวลาวในบริเวณนี้เห็นได้จาก พระองค์เจ้าแขไขดวงนั้นเป็นพระเจ้าลูกเธอของพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าฯ และมีเชื้อสายทางเจ้าฟ้ากุณฑลทิพยวดี ซึ่งสืบเชื้อสายมาจากเจ้าหญิงชาวเวียงจันทน์ และการเป็นคนเชื้อสายลาวที่เป็นไพร่ขึ้นกับวังหน้าตลอดมา
แผนที่แสดงแนวคลองหลอดบนและล่างที่ขุดพร้อมๆ กับคลองเมืองบางลำพู-อ่งอ่าง โดยมีคลองเชื่อมที่ข้างวัดสุทัศน์ฯ ริมถนนอุณากรรณ แต่ปัจจุบันถูกถมกลบไปแล้ว
บริเวณตำบลบ้านหม้อนั้นต่อเนื่องกับตำบลบ้านญวนซึ่งคงเป็นชุมชนดั้งเดิมมาตั้งแต่สมัยสร้างกรุงฯ เช่นเดียวกับชุมชนมอญที่อยู่บริเวณบ้านหม้อ มีหลักฐานกล่าวว่าในสมัยรัชกาลที่ ๕ ราว พ.ศ. ๒๔๔๑ เกิดไฟไหม้ใหญ่ที่ “บ้านญวน” ติดกันถึงสองครั้งจนมีที่ว่าง รัชกาลที่ ๕ จึงใช้ทรัพย์ส่วนพระองค์ของสมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ เจ้าฟ้าพาหุรัดมณีมัย กรมพระเทพนารีรัตน์ พระราชธิดาซึ่งประสูติจากสมเด็จพระศรีพัชรินทราบรมราชินีนาถ ซึ่งสิ้นพระชนม์เมื่อพระชันษา ๑๐ ปี ตัดถนนสายใหม่จากตำบลบ้านลาวไปถึงสะพานหันเรียกว่า “ถนนพาหุรัด” และเพราะตัดผ่านบ้านญวนจึงเรียกว่า “ถนนบ้านญวน” ในระยะแรกๆ เพื่อให้เป็นย่านเศรษฐกิจการค้าที่ต่อเนื่องกับทางถนนเจริญกรุง แต่ก็ต้องใช้เวลาพอสมควรจึงมีกลายเป็นตลาดการค้าของชุมชนเชื้อสายอินเดีย ซึ่งปลายถนนพาหุรัดช่วงที่ข้ามคลองเมืองหรือคลองโอ่งอ่างนั้นต่อกับสะพานหันและตลาดสำเพ็งที่เป็นย่านการค้าของคนจีน ถนนพาหุรัดจึงกลายเป็นย่านการค้าอย่างต่อเนื่องมาจนถึงปัจจุบัน
นับแต่ช่วงรัชกาลที่ ๔ จนถึงรัชกาลที่ ๕ มีการเปลี่ยนแปลงทางกายภาพในบริเวณท้องถิ่นใต้คลองหลอดวัดราชบพิธฯอย่างชัดเจน โดยตัดถนนตามแบบตะวันตกสายสำคัญต่างๆ เมื่อสยามเริ่มเข้าสู่ยุคสมัยใหม่และทำให้พื้นที่ริมถนนกลายเป็นตึกแถวและย่านการค้าต่างๆ ดังนั้นจึงไม่พบว่ามีชุมชนชาวมอญ ชาวญวน หรือชาวลาวอยู่อาศัยกันอย่างชัดเจนตามชื่อตำบลบ้านที่มีมาตั้งแต่ครั้งต้นกรุงฯ เนื่องเพราะมีการขยับขยายเปลี่ยนถ่ายไปอยู่ตามท้องถิ่นต่างๆ ที่เราพบเห็นชื่อบ้านตำบลของกลุ่มชาติพันธุ์เหล่านี้ในบริเวณอื่นๆ ของพระนครและปริมณฑล
ต่อมาเมื่อมีการตัดถนนในสมัยพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว เมื่อ พ.ศ. ๒๔๐๔ และเสร็จใน พ.ศ. ๒๔๐๗ โดยก่อสร้างถนนช่วงแรกตั้งแต่คูเมืองชั้นในจนถึงถนนตกริมแม่น้ำเจ้าพระยาที่ตำบลบางคอแหลม เรียกว่าถนนเจริญกรุงตอนใต้ ต่อมาจึงเริ่มสร้างถนนเจริญกรุงตอนใน ตั้งแต่วัดพระเชตุพนวิมลมังคลารามฯ จไปนถึงสะพานดำรงสถิตหรือสะพานเหล็กบนเพื่อเชื่อมต่อกับถนนเจริญกรุงทางนอกเมือง เมื่อสร้างถนนเจริญกรุงแรกเสร็จนั้น เรียกกันทั่วไปว่า “ถนนใหม่” และชาวยุโรปเรียกว่า นิวโรด [New Road] ชาวจีนเรียก “ซินพะโล้ว” แปลว่าถนนตัดใหม่แล้วจึงพระราชทานนามว่าถนนเจริญกรุง มีความหมายถึงความเจริญรุ่งเรืองของบ้านเมือง เช่นเดียวกับชื่อถนนบำรุงเมืองและถนนเฟื่องนคร ที่สร้างขึ้นในคราวเดียวกัน
บริเวณ “ถนนบำรุงเมือง” เริ่มตั้งแต่ถนนสนามชัย ผ่านเสาชิงช้า ประตูผี วัดสระเกศไปจนถึงสะพานยศเส บริเวณนี้มีการสร้างอาคารตึกแถวรุ่นแรกของพระนคร และให้เช่าทำการค้าจนกลายเป็นย่านการค้า โดยเฉพาะอย่างยิ่งการขายเครื่องสังฆภัณฑ์ที่มีสืบต่อมาจนปัจจุบัน ส่วน “ถนนเฟื่องนคร” เริ่มต้นจากสี่กั๊กพระยาศรีที่บรรจบกับถนนบำรุงเมืองที่สี่กั๊กเสาชิงช้าระยะราว ๕๐๐ เมตร ย่านนี้กลายเป็นย่านทันสมัยของพระนครมาเป็นเวลานับร้อยปีก่อนที่เมืองจะขยายเป็นมหานคร มีร้านค้าขายสินค้าคุณภาพ เป็นแหล่งรวมของผู้คนซึ่งมีความก้าวหน้าทางสังคมเพราะเคยเป็นที่ตั้งของโรงพิมพ์และสำนักพิมพ์ที่มีชื่อเสียงหลายแห่ง เช่น โรงพิมพ์สยามประเภทของ กศร. กุหลาบ, โรงพิมพ์ไทยเขษม สำนักพิมพ์คลังวิทยา จนถึงสำนักพิมพ์เคล็ดไทยและศึกษิตสยาม เป็นต้น บริเวณถนนดังกล่าวส่วนใหญ่อยู่เหนือจากคลองหลอดวัดราชบพิธฯ ขึ้นไปแทบทั้งสิ้น
แผนที่บริเวณสองฝั่งคลองหลอดวัดราชบพิธ ราว พ.ศ.๒๔๗๖
บริเวณถนนเจริญกรุงที่อยู่ในพระนคร สองข้างถนนเป็นตึกแถวชั้นเดียวเป็นระยะไม่ติดต่อกัน หากนับตั้งแต่สะพานมอญเรื่อยไปจนถึงถนนมหาไชย ปลูกต้นไม้ไว้เป็นระยะ กินเนื้อที่ถนนเข้าไปราวข้างละประมาณ ๒ เมตร มีการปลูกตึกแถวอยู่ทั้งสองฝั่งตั้งแต่หลังตัดถนนในสมัยรัชกาลที่ ๔ สองฟากถนนเป็นตึกร้านค้าซึ่งส่วนมากเป็นร้านของคนจีนย่านตึกแถวที่สวยงามอยู่บริเวณประตูสามยอดทางสะพานดำรงสถิต มีโรงหวยโรงบ่อนเป็นแหล่งการพนัน เป็นที่ชุมนุมชน ประตูสามยอดอยู่ที่เชิงสะพานดำรงสถิตหรือสะพานเหล็กบน เดิมมีประตูใหญ่แบบไทย มีสามช่อง แต่ละช่องมียอด จึงเรียกกันว่า ประตูสามยอด ตามช่องประตูมีบานประตูทำด้วยเหล็กแข็งแรงช่องละสองบาน เปิดปิดได้ เป็นประตูกำแพงเมืองด้านสำคัญ ถนนเจริญกรุงลอดประตูทั้งสามนี้ไป ยานพาหนะอื่น ๆ ลอดสองช่องเหนือ ช่องใต้สุดสำหรับรถรางโดยเฉพาะ ทางด้านซ้ายของถนนเจริญกรุงที่ถนนตีทองตรงกับถนนตรีเพชร มีร้านหัวมุมก่อนจะข้ามถนนตีทองเป็นร้านโรเบิร์ต เลนซ์ ต่อมากลายเป็นห้องภาพฉายานรสิงห์ในสมัยรัชกาลที่ ๖ เมื่อเกิดสงครามโลกครั้งที่ ๑ ฝั่งตรงข้ามเคยเป็นวังของสมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ พระองค์เจ้าเทวัญอุไทยวงศ์ กรมพระยาเทวะวงศ์วโรปการ
ภาพบน ตึกแถวที่ถนนเจริญกรุงเมื่อครั้งแรกสร้าง มองไปเห็นประตูสามยอดด้านไกลๆ
ภาพล่าง บริเวณย่านอาคารร้านค้าที่ถนนตีทอง ฝั่งตรอกเฟื่องทองอยู่ทางด้านซ้ายของภาพ
ย่านใต้ฝั่งคลองหลอดวัดราชบพิธฯ ฝั่งตรงข้ามกับวัดสุทัศน์เทพวรารามฯ เป็นที่ตั้งของวังพระราชโอรสในพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าฯ ๒ พระองค์ เรียกกันทั่วไปว่า “วังสะพานถ่าน” ส่วนถนนตีทองส่วนที่เลยคลองหลอดวัดราชบพิธฯ มาก็เคยเรียกว่าถนนสะพานถ่าน รัชกาลที่ ๔ โปรดเกล้าฯ ให้ซื้อที่ดินบริเวณนี้สร้างวังพระราชทานพระเจ้าลูกยาเธอ พระองค์เจ้าอุณากรรณ อนันตนรไชย แต่เสด็จสวรรคตเสียก่อน ต่อมาพระองค์เจ้าอุณากรรณฯ จึงทรงสร้างวังในที่ดินที่พระบรมราชชนกพระราชทานเสด็จอยู่ไม่เท่าไรก็สิ้นพระชนม์โดยไม่มีพระทายาท รัชกาลที่ ๕ พระราชทานต่อให้กรมพระยาเทวะวงศ์ฯ ผู้เป็นเสนาบดีกระทรวงต่างประเทศผู้มีคุณูปการ ต้นราชกุลเทวกุลในเวลาต่อมา ในรัชกาลที่ ๖ เมื่อสร้างวังเทวะเวสม์พระราชทานกรมพระยาเทวะวงศ์ฯ จึงทรงย้ายไป พื้นที่บริเวณวังนี้จึงอยู่ในความดูแลของสำนักงานทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์ ต่อมาได้รื้อวังสร้างเป็นตลาดสด ตลาดขายอาหาร และสถานบันเทิง ชื่อ “บำเพ็ญบุญนาฏสถาน” ชั้นบนเป็นโรงภาพยนตร์ เป็นร้านอาหาร เป็นโรงยาฝิ่นและแสดงมหรสพ ตลาดนี้เป็นอาคารสองชั้นและมีชื่อเสียงอาหารสารพัดชนิด ชั้นบนเป็นวิกระบำนายหรั่ง เรืองนาม ที่ย้ายมาจากตึก ๙ ชั้น ย่านเยาวราชมาเปิดการแสดงเมื่อหลังสงครามโลกครั้งที่ ๒
ตลาดบำเพ็ญบุญด้านหลังเป็นแหล่งมหรสพเริงรมย์ของผู้ชายตั้งแต่หัวค่ำถึงดึกดื่นในยุคหนึ่ง สองฝั่งคลองบริเวณนี้มีตึกแถวในย่านที่เรียกว่า “สะพานถ่าน” ที่เคยมีผู้นำถ่านล่องเข้าคลองหลอดมาขาย ฝั่งตรงข้ามคือถนนสระสรง-ลงท่า ติดกับวัดสุทัศน์ฯ เป็นย่านของหญิงบริการซึ่งเป็นที่ทราบกันดี ต่อมาตลาดบำเพ็ญบุญทรุดโทรมไป สำนักงานทรัพย์สินฯ จึงรื้อตลาดและสร้างเป็น “แฟลตบำเพ็ญบุญ” เมื่อราวกว่า ๓๐-๔๐ ปีมาแล้ว บริเวณนี้เป็นย่านที่พักผู้คนในกิจการฉายหนังกลางแปลงต่างๆ มาโดยตลอดจนการฉายหนังแบบเดิมเริ่มหายไปในยุคปัจจุบัน
บริเวณตลาดบำเพ็ญบุญที่เป็นอาคารสองชั้นและติดกับคลองหลอดวัดราชบพิธฯ เคยเป็นสถานที่ตั้งของ วังพระเจ้าลูกยาเธอ พระองค์เจ้าอุณากรรณ อนันตนรไชย สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ พระองค์เจ้าเทวัญอุไทยวงศ์ กรมพระยาเทวะวงศ์วโรปก
ฝั่งตรงข้ามกับตลาดบำเพ็ญบุญ หากข้ามถนนเจริญกรุงฝั่งตรงข้ามทางใต้คือบริเวณที่เรียกว่า “สนามน้ำจืด” ในสมัยรัชกาลที่ ๕ โปรดเกล้าฯ ซื้อที่ดินบริเวณระหว่างถนนเจริญกรุงและถนนพาหุรัดช่วงหลังวังบูรพาภิรมย์ ระหว่างถนนบูรพาและถนนตรีเพชร โดยวางแผนตัดถนนเป็นรูปกากบาทเพราะมีพระราชดำริอยากให้เป็นย่านการค้า แต่คงปล่อยเป็นลานโล่งๆ
จนกระทั่งในสมัยรัชกาลพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวในการที่จะฉลองพระนครครบ ๑๕๐ ปี มีพระราชดำริจัดสร้างสะพานพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกฯ พระบรมราชานุสาวรีย์พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าฯ และถนนสายต่างๆ ทางฝั่งธนบุรีให้เชื่อมต่อกับถนนในย่านเศรษฐกิจทางฝั่งพระนครที่ผ่านถนนตรีเพชร ย่านแยกศาลาเฉลิมกรุง ย่านแยกพาหุรัดและตลาดมิ่งเมือง ผ่านโรงเรียนสวนกุหลาบและวัดราชบูรณะ และสร้างโรงภาพยนตร์ในบริเวณที่ดินว่างตรงสนามน้ำจืด ในคราวเดียวกัน เรียกว่าโรงภาพยนตร์ศาลาเฉลิมกรุง เป็นโรงมหรสพที่ทันสมัยที่สุดแห่งหนึ่งในเอเชียยุคนั้นและเป็นอาคารแห่งแรกในประเทศไทยที่ใช้เครื่องปรับอากาศ สถาปนิกผู้ออกแบบโรงภาพยนตร์อันทันสมัยนี้คือคือ ม.จ.สมัยเฉลิม กฤดากร บริเวณย่านถนนเจริญกรุงจึงกลายเป็นแหล่งเศรษฐกิจที่รุ่งเรืองและทันสมัยมาโดยตลอดจนกระทั่งหมดยุคของโรงภาพยนตร์และการเดินตลาดใรช่วงที่เมืองกำลังขยายออกไปทุกทิศทางจนกลายเป็นมหานครในปัจจุบัน
เมื่อถึงยุคที่ภาพยนตร์ไทยเฟื่องฟู ศาลาเฉลิมกรุงเป็นศูนย์รวมของแหล่งอุตสาหกรรมภาพยนตร์ไทย เป็นย่านพื้นที่รวมตัวของผู้สร้าง ผู้กำกับ ดารา ตัวประกอบ ทีมงาน นักพากย์ นักร้อง ช่างเขียนโปสเตอร์ ฯลฯ บริษัทฉายหนังกลางแปลงและร้านจำหน่ายอุปกรณ์ส่วนใหญ่จะอยู่บริเวณด้านหลังของศาลาเฉลิมกรุง จนเมื่อปี พ.ศ. ๒๕๓๖ มีการปรับปรุงเพื่อสร้าง The Old Siam Plaza ทำให้บรรดาร้านที่เกี่ยวเนื่องกับการฉายหนังต่างๆ กระจายมาอยู่ที่แฟลตบำเพ็ญบุญ
โรงภาพยนตร์ศาลาเฉลิมกรุง
“ทางฝั่งใต้คลองหลอดวัดราชบพิธฯ” ฝั่งตะวันตกของถนนเฟื่องนครคือวัดราชบพิธสถิตมหาสีมารามราชวรวิหารที่สร้างเพื่อเป็นวัดประจำรัชกาลที่ ๕ ใน พ.ศ. ๒๔๑๒ ด้านตะวันออกเป็นถนนตีทองซึ่งสร้างคั่นระหว่างย่านชุมชนตรอกเฟื่องทองและวัดสุทัศน์เทพวรารามฯ ถนนตีทองเริ่มตั้งแต่ถนนบำรุงเมืองที่แยกเสาชิงช้า ข้ามคลองหลอดวัดราชบพิธฯ ไปจนถึงถนนเจริญกรุงที่สี่แยกเฉลิมกรุง สร้างในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว เป็นถนนสายเล็กเชื่อมระหว่างถนนเจริญกรุงกับถนนบำรุงเมือง ถนนสายนี้ตัดผ่านย่านชุมชนดั้งเดิมที่ทำทองคำเปลว จึงเรียกว่า “ถนนตีทอง” ในรัชกาลเดียวกันก็ได้ปรับปรุงถนนด้านหลังวัดสุทัศน์ฯ เป็น “ถนนสระสรง” เชื่อมถนนตีทองกับถนนอุณากรรณ ส่วน “ถนนลงท่า” นั้นอยู่ด้านริมคลองหลอดวัดราชบพิธฯ ทั้งถนนสระสรงและถนนลงท่าคู่ขนานกัน และโปรดเกล้าฯ ให้สร้างตึกแถวให้เช่าโดยพระคลังข้างที่ ถัดจากแนววัดสุทัศน์ฯ คือถนนอุณากรรณที่ต่อเนื่องกับเรือนจำหรือคุกกองมหันต์โทษที่สร้างใน พ.ศ. ๒๔๓๓ ริมถนนมหาไชย และกลายเป็นสวนสาธารณะรมณีนาถเมื่อย้ายเรือนจำออกไปแล้วในปัจจุบัน
การตัดถนนต่างๆ ในย่านวัดสุทัศน์ฯ และสร้างตึกแถวเพื่อให้เช่าเก็บค่าบำรุง สร้างตลาดการค้าหรือย่านเศรษฐกิจในยุคนี้เปลี่ยนแปลงภูมิทัศน์ของเมืองหรือย่านการค้าภายในพระนครไปมาก จากการมีชุมชนดั้งเดิมของกลุ่มชาติพันธุ์ต่างๆ ก็เริ่มมีการผสมผสานถ่ายเทผู้ทำการค้าไม่แต่เฉพาะคนจีนเท่านั้น แต่ยังมีคนเชื้อสายแขกต่างๆ ชาวต่างชาติ เช่น ญี่ปุ่น ชาวยุโรป คหบดีขุนนางเชื้อพระวงศ์ที่สร้างพื้นที่การค้าขายสิ่งของทันสมัยนำเข้าจากต่างประทศ
เหนือจากบริเวณตรอกเฟื่องทองเป็นถนนราชบพิธ อีกด้านหนึ่งคือตรอกหม้อ ต่อเนื่องไปถึงถนนตะนาวและย่านแพร่งต่างๆ เป็นย่านตลาดอาหารการกินและร้านค้าหลากหลายที่มีบริเวณติดกับกระทรวงมหาดไทย กระทรวงกลาโหม ศาล และหน่วยงานราชการจำนวนมากในยุคสมัยหนึ่ง ก่อนจะเริ่มย้ายสถานที่ราชการออกไปยังศูนย์ราชการและสถานที่อื่นๆ จนทำให้ย่านนี้คึกคักด้วยข้าราชการ พนักงานบริษัทเอกชน หล่อเลี้ยงร้านค้า ร้านอาหารย่านชุมชนแถบนี้อย่างมีชีวิตชีวา จนกระทั่งหน่วยงานราชการย้ายออกไปจนเกือบหมด ร้านค้าและร้านอาหารในย่านนี้จึงโรยลาลงตามลำดับ
สองฝั่งคลองหลอดวัดราชบพิธ
ย่านวังและบ้านข้าราชการ
ประวัติศาสตร์ศาสตร์บอกเล่าจากคนย่านเก่าสองฝั่งคลองหลอดวัดราชบพิธคือทั้งทางตรอกวิสูตรและตรอกเฟื่องทอง โดยสรุปกล่าวกันว่าทางฝั่งบ้านเรือนทางตรอกเฟื่องทองส่วนใหญ่เป็นข้าราชการตุลาการ ข้ามฝั่งคลองไปทางตรอกวิสูตร ส่วนใหญ่เป็นบ้านเรือนข้าราชการทหารและโหรหลวง ซึ่งส่วนใหญ่นั้นเป็นที่ดินโฉนดพระราชทานแก่ข้าราชบริพารที่เป็นข้าราชการชั้นสูงบ้านละ ๒๐-๒๕ ตารางวา หรือบางบ้านก็จะมีพื้นที่มากกว่านั้นหากซื้อที่ดินเพิ่มเติมกันเอง
เมื่อก่อนสร้างถนนเจริญกรุงตอนในช่วงต้นกรุงรัตนโกสินทร์ น่าจะมีบ้านเรือนชาวบ้านตั้งอยู่เป็นกลุ่มๆ เช่น บ้านหม้อ บ้านญวน บ้านบ้างสลับกับที่ว่าง เมื่อสร้างถนนแล้ว พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าฯ ก็ทรงซื้อที่ดินตรงที่เป็นตลาดบำเพ็ญบุญในเวลาต่อมาจากราษฎรเพื่อพระราชทานให้เป็นวังพระเจ้าลูกยาเธอ พระองค์เจ้าอุณากรรณฯ และเมื่อยายวังออกไปในสมัยรัชกาลที่ ๖ บริเวณนี้กลายเป็นตลาดบำเพ็ญบุญที่เป็นทั้งย่านร้านอาหาร โรงภาพยนตร์ โรงระบำ โรงยาฝิ่น ซ่องโสเภณี
ส่วนย่านสะพานถ่าน อาจารย์เจษฎา รักสัตย์ ผู้เป็นคนตรรอกวิสูตรที่อยู่ใกล้เคียงกล่าวว่า คือบริเวณแนวคลองหลอดวัดราชบพิธตั้งแต่ตลาดบำเพ็ญบุญหรือแฟลตบำเพ็ญบุญทุกวันนี้คลองหลอดไปทางถนนอุณากรรณและเรือนจำที่เป็นสวนรมณีนาถในทุกวันนี้ เรียกว่าย่านสะพานถ่านทั้งหมด เพราะมีเรือถ่านแสมมาจอด แล้วก็มาทุบถ่านดุ้นยาวๆ ใส่เข่งสานด้วยไม้ไผ่ขายคนซื้อ เวลาขนขึ้นมาเศษผงถ่านคลุมพื้นดำมืด หลัวสานด้วยไม้ไผ่
ในตรอกเฟื่องทองมีอาคารเรือนแถวเก่าซึ่งเป็นของสำนักงานทรัพย์สินฯ ราว ๘ ห้อง ส่วนที่ดินและบ้านเรือนเก่าๆ แทบทั้งหมดถูกขายต่อไปสร้างเป็นตึกแถวและอาคารพานิชย์เปลี่ยนสภาพไปแทบหมดสิ้น ทางฝั่งถนนตีทองนั้นเคยมีบ้านช่างทองคำเปลวอยู่หลายหลัง ส่วนใหญ่มีฐานะดี
เมื่อสร้างตึกแถวที่ถนนตีทอง ช่วงระยะหนึ่งมีร้านตัดกางเกงผู้ชาย กางเกงยูนิฟอร์มของข้าราชการ ผู้ใหญ่ทั้งหลายจะต้องมาตัดแถวนี้หมดย่านนี้ทั้งหมด ก่อนจะหายไปจากความนิยม นอกจากนั้นก็มีร้านค้าพวกเครื่องหมายข้าราชการอยู่หลายแห่ง ร้านขายหมวกจากยุโรปในยุคมาลานำไทยและหมวกเครื่องแบบของข้าราชการต่างๆ ในยุคหลัง
คุณยุทธศักดิ์ น้อยพยัคฆ์ ประธานตรอกเฟื่องทอง-ตรอกวิสูตร ปัจจุบันอายุ ๖๔ ปี แทบจะเป็นคนดั้งเดิมบ้านเดียวที่เหลืออยู่ทางแถบตรอกเฟื่องทองเล่าว่า ตนเป็นหลานตาของขุนธนราชตุลารักษ์และมีเชื้อสายเป็นคนลาวเวียงนามสกุลศุขโชติ ซึ่งตรงตามหลักฐานในครั้งสมัยต้นกรุงฯ ที่บริเวณนี้แต่ดั้งเดิมเป็นเขตที่อยู่อาศัยของชาวลาวเวียงและคนพวนที่ติดตามมาแต่ครั้งเจ้าอนุวงศ์ถูกส่งมากรุงเทพฯ ละแวกนี้เคยมีบ้านเรือนของข้าราชการปลูกเป็นหลังๆ มีบริเวณและมีสวนมะม่วงคั่น มีบ้านของนายตำรวจที่เป็นนายแพทย์ บ้านของข้าราชการตุลาการ เช่น ตระกูลของมหาอำมาตย์โทพระยานรเนติบัญชากิจ (ลัด เศรษฐบุตร) บุคคลในแวดวงตุลาการหลังจากกรมหลวงราชบุรีดิเรกฤทธิ์ ทรงจัดตั้งโรงเรียนกฎหมายแล้ว ทั้งยังเป็นบิดาของศาสตราจารย์ ดร.จิ๊ด เศรษฐบุตร บริเวณที่ทำการหอการค้าไทยนั้นเคยเป็นบ้านพักของข้าราชการตุลาการ คือ พระดุลยภาณสรประจักษ์ (บุญมาก ตังคณะสิงห์) ผู้พิพากษาหัวหน้าศาลในจังหวัดหัวเมืองต่างๆ ซึ่งเป็นผู้ร่วมก่อตั้งสมาคมโหรแห่งประเทศไทยในพระบรมราชินูปถัมภ์ในจำนวน ๒๔ ท่านเมื่อ พ.ศ. ๒๔๙๐ ร่วมกับพระยาโหราธิบดี (แหยม วัชระโชติ) คุณตาของอาจารย์เจษฎา รักสัตย์ ที่ยังปรากฏกลุ่มบ้านอยู่ทางตรอกวิสูตร โดยมีหลักฐานปรากฏว่าเป็นบ้านของพระยาโหราธิบดีครั้งเป็นหลวงโลกทีป ริมถนนตีทอง ซึ่งเป็นโหรหลวงในครั้งรัชกาลที่ ๕
อาจารย์เจษฎา รักสัตย์ อายุ ๗๒ ปี หลานตาพระยาโหราธิบดี (แหยม วัชรโชติ) ซึ่งเป็นพระยาโหราธิบดีท่านสุดท้ายของกรุงรัตนโกสินทร์ ก่อนจะยุบกรมโหรหลวงลงในสมัยรัชกาลที่ ๗ และยังเป็นผู้จารึกดวงพระบรมราชสมภพของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลปัจจุบันในพระราชพิธีบรมราชาภิเษก บ้านที่ตรอกวิสูตรหรือซอยเจริญกรุง ๑ และถือเป็นบ้านดั้งเดิมหลังเดียวที่ยังปรากฏอยู่ พระยาโหราธิบดีนั้นมีหลักฐานว่าเกิดเมื่อ พ.ศ. ๒๔๐๑ และสมเด็จกรมพระยาดำรงราชานุภาพกล่าวว่าท่านเป็นคนเชื้อสายมอญบ้านบางตลาด ปากเกร็ด นนทบุรี และเป็นเจ้าของสมุดข่อย “ทักษารามัญ” และตำชราโหรอีกหลายเล่มที่ถูกนำมาพิมพ์เผยแพร่ใช้กันในวงการโหรภายหลัง โดยท่านศึกษาที่วัดตองปุหรือวัดชนะสงคราม
พระยาโหราธิบดี (แหยม วัชรโชติ) และคุณหญิงพระยาโหราธิบดี (แก้ว วัชรโชติ)
ดำรงตำแหน่งพระยาโหราธิบดีท่านสุดท้ายของกรุงรัตนโกสินทร์ ก่อนจะยุบกรมโหรหลวงลง
ในสมัยรัชกาลที่ ๗ และยังเป็นผู้จารึกดวงพระบรมราชสมภพของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว
ในรัชกาลปัจจุบันในพระราชพิธีบรมราชาภิเษก
อาจารย์เจษฎาจบการศึกษาที่คณะมัณฑนศิลป์ มหาวิทยาลัยศิลปากร และคณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยรามคำแหง ดำเนินอาชีพครูมาโดยตลอดกล่าวว่า ที่ดินบ้านคุณตา เดิมเป็นที่พระราชทานครึ่งหนึ่งและซื้อที่อีกครั้งหนึ่งในบุตรสาวปลูกบ้าน ๔ หลังแบ่งให้อยู่อาศัยในพื้นที่ราว ๖๐ ตารางวา แต่ในคราวสงครามโลกครั้งที่ ๒ เมื่อมีการทิ้งระเบิดที่การไฟฟ้าวัดเลียบทำให้ไฟไหม้ที่ตลาดบ้านหม้อ และลามติดบ้านเรือนเป็นเวลาเกือบ ๒๐ วันจนมาถึงบ้านที่ใกล้คลองหลอด ไฟลามข้ามถนนไหม้บ้านแต่เดิมทั้ง ๔ หลังจนหมดไม่เหลือเลย และต้องสร้างบ้านใหม่ทั้งหมดอีกครั้ง แถบบ้านของพระยาโหราธิบดีนั้นที่ตรอกวิสูตรนั้น แต่แรกเริ่มไม่มีบ้านผู้คนอื่นใด นอกจากบ้านพระยาวิสูตรฯ ซึ่งน่าจะเป็นข้าราชการชั้นผู้ใหญ่ของกระทรวงมหาดไทยตั้งอยู่ทางปากตรอกด้านขวา ต่อจากนั้นจึงเป็นพระยาโหราธิบดีและบ้านนายทอง ด้านหลังบ้านของพระยาโหราธิบดีจะเป็นลำประโดงแยกเข้ามาจากคลองหลอด อาจารย์เจษฎาเล่าว่าเจ้าหน้าที่จากสำนักพระราชวังจะแจวเรือมารับส่งคุณตาทุกวันเช้าและเย็น นอกจากนั้นคงเป็นพื้นที่ว่าง
ตลาดสดในย่านนี้ที่ใกล้ที่สุดคือ “ตลาดบ้านหม้อ” ส่วนตลาดตรอกหม้อก็มีเดิม แต่ไม่หนาแน่นเช่นทุกวันนี้ ทำบุญและตักบาตรกับพระทั้ง ๓ วัด คือ วัดสุทัศน์ฯ วัดราชบพิธฯ และวัดโพธิ์ฯ มีแหล่งที่ไปช้อปปิ้งไปเที่ยวกันก็ที่วังบูรพา ห้างเซ็นทรัลเป็นห้างใหญ่ที่สุดในประเทศไทยขณะนั้น และนิยมไปดูภาพยนตร์ที่โรงหนังเฉลิมเขต แถวยศเส และโรงหนังศาลาเฉลิมกรุง เดินเที่ยวตลาดมิ่งเมือง วังบูรพา หากเดินทางออกจากบ้านจะพบแต่ย่านจำหน่ายสินค้าเป็นแหล่งใหญ่ๆ ทั้งนั้น แหล่งรถยนต์อยู่ที่วรจักร แหล่งเพชรที่บ้านหม้อ ทำทองรูปพรรณก็ย่านตีทองไปถึงตลาดเก่า เยาวราชที่เป็นแหล่งขาย
กลุ่มบ้านสี่หลัง ในบริเวณบ้านพระยาโหราธิบดีใกล้คลองหลอดวัดราชบพิธฯ
แหล่งโต๊ะบิลเลียดที่ใหญ่ที่สุดในประเทศไทยอยู่ที่ห้างใต้ฮวดและเฮงฮวด ซึ่งคือตระกูลเตชะหรูวิจิตร ซึ่งเป็นพี่น้องกัน โต๊ะบิลเลียดแหล่งแรกของเมืองไทยอยู่ที่นี่อยู่ที่ปากซอยเจริญกรุง ใต้ฮวดเขาก็มาเช่าที่ของบ้านพระยาวิสูตรฯ ภายหลังลูกหลานต้องการย้ายไปอยู่ชานเมืองจึงขายที่ดินให้กับใต้ฮวดไปแล้ว
บริเวณตรอกวิสูตรในปัจจุบันไม่มีผู้อยู่อาศัยดั้งเดิมอยู่แล้วนอกจากบ้านของอาจารย์เจษฎา กลายเป็นพื้นที่สร้างตึกแถวและอาคารที่คนจากต่างจังหวัดมาทำเพชรพลอยทองรูปพรรณต่างๆ เมื่อมีฐานะก็ซื้อที่ดินและตึกแถวสร้างฐานะจากแรงงานลูกจ้างมาเป็นเจ้าของกิจการ บางรายร่ำรวยในระดับร้อยล้านเพราะทำเครื่องประดับส่งออกในราคาถูกและเป็นที่นิยมในตลาดอเมริกา เป็นต้น
ชุมชนตรอกเฟื่องทอง-ตรอกวิสูตรมีผู้อาศัยอยู่ราว ๒,๗๐๐ ประมาณ ๕๐๐ ครัวเรือน ซึ่งเป็นคนอยู่อาศัยมาแต่ดั้งเดิมราว ๒๐ เปอร์เซนต์ที่เหลือนั้นเป็นคนมาจากที่อื่นๆ เพื่อเข้ามาประกอบอาชีพโดยเฉพาะทำทอง แต่พอถึงช่วงสงกรานต์ผู้คนก็กลับบ้านที่ต่างจังหวัดหมดหมด จนชุมชนเงียบเหงา แต่หากมีกิจกรรมของชุมชนก็เข้าร่วม คนจีน คนอีสานให้ความร่วมมือเช่นเดียวกัน คนจีนมีฐานะดีก็จะร่วมมือในจำนวนเงินมากขึ้น ส่วนคนอีสานก็จำนวนน้อยลงตามลำดับ
ปัญหาที่พบและหนักใจคือ การมีเด็กวัยรุ่นใช้ยาเสพติดบ้าง ทะเลาะวิวาทกับวัยรุ่นในชุมชนอื่นๆ บ้าง นอกจากนั้นก็เป็นปัญหาของการมีชุมชนทั้งสองฝั่งคลองที่ต้องใช้เวลาในการดูแลค่อนข้างมาก
จากย่านตีทองคำเปลวจนถึงทำทองรูปพรรณ
ถนนตีทองเริ่มตั้งแต่ถนนบำรุงเมืองที่แยกเสาชิงช้า ข้ามคลองหลอดวัดราชบพิธไปจนถึงถนนเจริญกรุงที่สี่แยกเฉลิมกรุงระยะทาง ๕๒๕ เมตร กล่าวกันว่าถนนสายนี้ตัดผ่านย่านชุมชนที่มีอาชีพทำทองคำเปลวจึงเรียกว่า “ถนนตีทอง” และกลุ่มบ้านที่เคยตีทองคำเปลวอยู่ใน “ตรอกเฟื่องทอง” ที่อยู่ฟากตะวันตกของถนนตีทองติดกับคลองหลอดวัดราชบพิธที่มีเส้นทางเดินเชื่อมกับทั้งถนนตีทองและถนนราชบพิธ ในช่วงราวพ.ศ. ๒๔๔๐ เคยมีบ้านเรือนหลายหลังที่ตีทองทำทองคำเปลว แต่ปัจจุบันเลิกทำไปหมดแล้ว เช่น อำแดงเอี่ยม บุตรนายควร สังกัดทูลกรพหม่อทแก้วช่างทองคำเปลว เรือนฝากระดาน, นายตงบุตรจีนติน ขึ้นพระยาสุรเสนา ช่างทองคำเปลวเรือนฝากระดาน, นายนิล มหาดเล็ก บุตรนายสุก ขึ้นพระยาภาศกรวงษ ช่างทองคำเปลว เรือนฝากระดาน, นายเนย บุตรนานอ่วม ขึ้นเจ้าคุณกรมท่า ช่างตัดทองคำเปลว เรือนฝาแตะ, อำแดงซุ่น บุตเที่ยงขึ้นพระยารัตนโกษา ช่างทองคำเปลว เรือนฝากระดาน
และยังพบว่าบริเวณตรอกรังษีหรือที่เรียกว่าตรอกวัดรังษีในคราวเดียวกันนั้น มีบ้านที่ตีแผ่นทองคำเปลวอยู่หลายบ้าน เช่น นายพันบุตรราชศรีนาคาขึ้นจ่ายง ตีทองตำเปลวขายเรือนฝากระดาน นายทิม พระมลตรีนวร ขึ้นกรมมหาดไทย ตีทองคำเปลวขายเรือนฝากระดาน, อำแดงพลับ ภรรยาพระครูประโรหิต ตีทองคำเปลวขาย เรือนฝากระดาน, นายขาว บุตรนายเพง ขึ้นกรมหลวงจักรพรรดิพงษ์ ตีทองคำเปลวขาย เรือนฝากระดาน, นายถม ซายันมหาดเล็ก ตีทองคำเปลวขาย เรือนฝากระดาน, นายดิษ บุตรนายสน ขึ้นพระยาพลเทพ ตีทองคำเปลวขาย เรือนฝากระดาน นายเสม บุตรชาติโอสถขึ้นกรมหมอ ตีทองคำเปลวขาย เรือนฝากระดาน, อำแดงเกิด บุตรราชจินดาหุ้มแพร ตีทองคำเปลวขาย เรือนฝากระดาน, นายจรเป็นขุนจินดาพิรมลา ตีทองคำเปลวขายเรือนฝากระดาน จะเห็นว่าบ้านที่ตีทองคำเปลวขายทางตรอกวัดรังษีมีเป็นจำนวนมากกว่าทางแถบถนนตีทองและทำกันเกือบทุกหลังคาเรือนทีเดียว
น่าสังเกตว่าบ้านเรือนของผู้ทำกิจการตีทองคำเปลวขายมักเป็นผู้มีฐานะ ทั้งหมดอยู่บ้านเรือนฝากระดาน และบ้างก็เป็นขุนนางหรือลูกหลานขุนนางที่น่าจะพอมีทุนทรัพย์และฐานะมากพอจะมีทุนซื้อทองคำมาตีเป็นแผ่นขาย การผลิตแผ่นทองคำเปลวนี้น่าจะแพร่หลายจากการใช้เวลาฝึกฝนกันอยู่ในกลุ่มเครือญาติและเพื่อนบ้าน ซึ่งมีขั้นตอนการผลิตซับซ้อนและต้องใช้แรงกายรวมทั้งความอดทนมากกว่างานช่างชนิดอื่น แต่ก็ไม่ใช่หนึ่งงานช่างหลวงแต่อย่างใด
ปัจจุบันในชุมชนตึกดินใกล้กับมัสยิดตึกดินทางฝั่งใกล้ถนนตะนาวหลังโรงเรียนสตรีวิทยายังมีบ้านที่ตีแผ่น ทองคำเปลวอยู่สองสามหลัง แต่นานๆ ครั้งจึงจะผลิตเนื่องจากราคาทองคำที่สูงมากในปัจจุบัน กลุ่มบ้านเรือนเหล่านี้ที่อาจจะโยกย้ายมาจากแถบถนนตีทองหลังจากตัดถนนในสมัยรัชกาลที่ ๕ พร้อมกับชาวตึกดินที่เคยอยู่ทางแถบตรอกศิลป์ก่อนที่จะเปลี่ยนแปลงตึกดินที่เคยเป็นสถานที่เก็บดินระเบิดของหลวงให้เป็นพื้นที่ถนนราชดำเนินกลางบางส่วน
การผลิตทองคำเปลว กระบวนการผลิตยังคงไม่เปลี่ยนแปลงไปจากเดิม การเลือกซื้อทองคำแท่งที่มีเปอร์เซ็นต์ทองไม่ต่ำกว่าร้อยละ ๙๖.๕-๙๙.๙๙ แล้วนำทองไปรีดให้เป็นแผ่นบางเท่ากับกระดาษ พับให้ได้หลายทบ แล้วนำมาตัดให้เป็น “ทองรอน” หรือแผ่นทองคำขนาด ๑x๑ เซนติเมตร ทองคำน้ำหนัก ๑ บาท เมื่อนำมาตัดให้เป็นทองรอนจะได้จำนวน ๗๒๐ แผ่น
นำทองรอนไปใส่กูบหรือกระดาษแก้ว ขนาด ๔x๔ นิ้ว ที่ผ่านการกำจัดเศษผงและลูบด้วยแป้งหินเนื้อละเอียดมีน้ำหนัก เพื่อไม่ให้ทองติดแผ่นกระดาษแก้ว ขั้นตอนนี้จำเป็นต้องใช้ความพิถีพิถันและระมัดระวังมาก เพราะต้องนำทองรอนมาวางตรงกลางกูบซ้อนกันให้ได้จำนวน ๗๒๐ ชั้น นำกูบกระดาษแก้วมาบรรจุในกูบหนังวัวอีกชั้นหนึ่ง แล้ว วางบนแผ่นหินแกรนิตหรือหินอ่อน มีไม้ประกบเป็นกรอบ และมี “ไม้กลัด” สอดด้านข้างซองหนังเพื่อยึดไว้ไม่ให้เคลื่อนที่เวลาตี
จากนั้นตีด้วยค้อนที่ทำจากทองเหลืองน้ำหนัก ๑๐ กิโลกรัม ซึ่งเป็นน้ำหนักที่เหมาะสำหรับการตีทองคำเปลว ลงน้ำหนักอย่างเท่ากันนานราว ๑ ชั่วโมง จนทองเริ่มขยายเป็นแผ่นใหญ่ขึ้น จึงเปลี่ยนไปใส่ใน “ฝัก” ที่ทำจากปลอกหนังคล้ายกูบ แต่แผ่นใหญ่กว่า
จากนั้นถ่ายทองลงบนกระดาษแก้วที่หนากว่าและโตกว่า ขนาด ๖x๖ นิ้ว ใส่ลงในซองหนังเรียกว่า “ฝักทอง” มีกรอบยึดและวางบนแท่นหินเหมือนเดิม ใช้ค้อนหนัก ๔ กิโลกรัม ตีต่อไปอีกห้ามหยุดพักในน้ำหนักที่เท่ากัน ๔ ชั่วโมง จนเป็นแผ่นทองคำเปลว การหยุดพักเพียงนาทีเดียวจะทำให้ความเย็นเข้าแทนที่ ทำให้ทองขยายตัวไม่ได้มากเท่าที่ควร ถ้าตีน้ำหนักเบาเกินไปแผ่นทองหนาก็ทำให้ขาดทุนได้ แต่หากแรงเกินไปก็อาจทำให้แผ่นทองฉีกขาด จึงต้องทำอย่างชำนาญ สม่ำเสมอและประณีต
การตีทองคำเปลวยังไม่สามารถตีด้วยเครื่องจักรได้ เนื่องจากเครื่องจักรไม่สามารถผ่อนหนักผ่อนเบาได้ ยกเว้นจะใช้ทองคำที่มีความบริสุทธิ์น้อย
แผ่นทองคำเปลวจิตรา โดยช่างตีทองที่ชุมชนตึกดิน ซึ่งยังคงมีการตีทองแบบดั้งเดิมอยู่
จากนั้นถ่ายทองไปใส่กระดาษสา หรือ “กระดาษดาม” เพื่อเตรียมตัดทองตามขนาดที่ลูกค้าต้องการ ซึ่งในขั้นตอนนี้ต้องใช้อุปกรณ์เสริมคือ “ไม้เลี้ยะ” หรือไม้ไผ่เหลาจนคม และ “หมอนรองตัด” ที่ไม่แข็งหรือไม่นุ่มเกินไป และต้องทำในที่อับลม เพื่อไม่ให้ทองปลิวและย่นยู่ใช้ไม้รวกแซะทองวางบนกระดาษฟาง ด้านที่เนื้อหยาบสาก ในการทำขั้นตอนนี้ช่างตัดทองคำเปลวจะต้องผ่านการฝึกมาเป็นอย่างดี ใช้ความระมัดระวังในการตัดทองเพื่อให้ได้แผ่นทองที่สมบูรณ์มีรอยขาดให้น้อยที่สุด ซึ่งแผ่นทองคำเปลวที่มีขนาดสมบูรณ์ไม่มีรอยขาดจะเรียกว่า “แผ่นทองคัด” จะมีขนาด ๔x๔ เซนติเมตรและขนาด ๓.๕x๓.๕ เซนติเมตร ส่วนแผ่นทองที่ขาดแล้วนำมาต่อกันจะเรียกว่า “ทองต่อ” จะมีขนาด ๒.๕x๒.๕ เซนติเมตร และขนาด ๑.๕x๑.๕ เซนติเมตร และการตีทองของแต่ละเจ้าจะไม่ได้มีขนาดเดียวกันเสมอไปขึ้นอยู่กับการผลิตของแต่ละบ้านที่สืบทอดกันมา แผ่นทองที่เหลือจากการตัดจะถูกนำมารวมกันและเก็บใส่กล่อง เพื่อรอนำกลับไปหลอมนำมาผลิตใหม่อีกครั้ง
ปัญหาในการตีทองคำเปลวก็คือราคาทองคำแท่งที่มีราคาสูง ราคาวัตถุดิบ เช่นกระดาษแก้วคุณภาพดีที่สั่งนำเข้าจากต่างประเทศ แม้จะมีลูกค้าชั้นดีต้องการทองคำเปลวที่มีคุณภาพสูงก็ตาม และยังมีปัญหาการกดราคารับซื้อของกลุ่มผู้ค้าคนกลางและคณะกรรมการวัด
จากการสอบถามคุณจันทนีย์ จันแสง อายุ ๔๗ ปี “ทองคำเปลวจิตรา” ซึ่งเป็นลูกหลานช่างตีทองที่ตรอกบวรรังษีหรือชุมชนตึกดินมาตั้งแต่รุ่นคุณยาย น่าจะได้ประมาณ ๖๐-๗๐ ปีมาแล้ว แถบนี้มีบ้านที่ตีทองประมาณ ๓-๔ บ้าน แต่ปัจจุบันเลิกทำไปหมดแล้ว การตีทองของแต่ละบ้านที่ทำจะไม่เหมือนกัน แม้คล้ายคลึงกันภายนอกแต่บ้านต่างๆ จะใช้รูปแบบชิ้นงาน ความหนาบางและคำนวนราคาต่างกันคือดูภายนอกอาจจะเหมือนกันแต่ลักษณะเนื้อทอง ขนาด คุณภาพของทองจะไม่เหมือนกัน และมีการคำนวนราคาต่างกัน
การทำทองต้องใช้แรงงานคน จึงต้องใช้แรงงานคนในครอบครัว เช่น “การตี” ต้องใช้แรงงานผู้ชายและไม่ใช้เครื่องจักร ส่วนผู้หญิงทำงานพวกตัด เทเข้ากระดาษ ตัดพิมพ์
ในอดีตมีแรงงานมากเพราะผู้คนจะมารับจ้างทำงานแบบนี้กัน แต่ปัจจุบันแทบไม่มีคนทำและไม่มีคนรุ่นใหม่ที่จะอดทนทำงานเช่นนี้ ปัจจุบันการตีทองคำเปลวนั้นใช้คนรุ่นเก่าที่กลับบ้านและเป็นที่ไว้วางใจ เมื่อตีทองจนได้ขนาดแล้วจะส่งไปให้ตัดเป็นแผ่น ซึ่งต้องใช้ความอดทนที่ต้องอยู่ในอากาศที่อับลมและร้อน ใช้ความชำนาญสูง เช่นชาวจังหวัดพระนครศรีอยุธยา มีการส่งให้ไปทำที่บ้าน เมื่อเสร็จแล้วจึงนำมาส่ง จึงทำให้มีการขยับขยายไปตั้งโรงงานตีทองคำเปลวที่จังหวัดพระนครศรีอยุธยากันหลายเจ้า เพราะความต้องการทองคำเปลวของแท้คุณภาพดีในตลาดยังมีอยู่มาก และหาช่างทำได้ยาก
ตรอกเฟื่องทอง-ตรอกวิสูตร ย่านทำทองรูปพรรณ จากการเป็นย่านตีทองคำเปลวมาตั้งแต่ต้นกรุงฯ บริเวณตรอกเฟื่องทองและตรอกวิสูตรก็ปรับเปลี่ยนมาเป็นสถานที่รับทำทองรูปพรรณทั้งแหวน สร้อย ประดับเพชร พลอยทำจากเงินและทองคำ กลายเป็นร้านชุบทอง ร้านซ่อมแบบยิงเลเซอร์เพื่อซ่อมตัวเรือนเพชรพลอยสายสร้อย ปั๊มจตุคามรามเทพ ขายพลอยทำทองและเงินรูปพรรณและก็ขายส่งออกต่างจังหวัด เป็นย่านธุรกิจที่สืบเนื่องมาจากพื้นที่ดั้งเดิมที่มีการทำทองคำเปลวและทองรูปพรรณ
การทำทองรูปพรรณที่ตรอกเฟื่องทองในปัจจุบัน
กล่าวกันว่าในช่วงราวหลังสงครามโลกครั้งที่ ๒ เมื่อประเทศจีนเปลี่ยนแปลงการปกครองเป็นระบอบสาธารณรัฐเป็นประเทศคอมมิวนิสต์ จึงทำให้เกิดการอพยพหนีออกจากประเทศของตนเองเป็นระลอกใหญ่อีกครั้งหนึ่ง คนจีนในกรุงเทพมหานครที่มีฐานะตระกูลสำคัญๆ หลายกลุ่มตระกูลก็อพยพมายังประเทศไทยในช่วงเวลานี้ ช่างทองกลุ่มใหญ่นำเอาวิชาชีพช่างทองติดตัวมาด้วย และเดินทางเข้ามาเป็นลูกจ้างและเจ้าของกิจการโดยเฉพาะบริเวณบ้านหม้อ เยาวราช และตึกแถวบริเวณถนนเจริญกรุงช่วงภายในพระนคร ฯลฯ หลังจากนั้นย่านตีทองจึงเริ่มเปลี่ยนเป็นย่านทำทองรูปพรรณส่งขายหน้าร้านใหญ่ๆ ที่ถนนเยาวราชและบ้านหม้อ
ทองดั้งเดิมก็คือทองบางสะพานแต่เดิม และต่อมาทำเป็นทองรูปพรรณที่ได้รับแบบมาจากทองรูปพรรณของชาวมุสลิมบ้าง แบบอย่างยุโรปบ้าง แต่คนจีนในรุ่นใหม่เข้ามาพัฒนาออกแบบทำให้สวยขึ้น เขามาพัฒนา ทำให้สวยขึ้น ทำให้ราคาถูกลง ทำแบบโปร่ง ถักลายคดกริดที่มีคนรับจ้างทำอยู่ทางแถบตรอกเขมรใกล้บ้านบาตรบ้าง คนจีนที่มาทำทองเป็นคนจีนแต้จิ๋ว มาอยู่อาศัยที่เยาวราชเป็นหลัก พวกทำทองมาอยู่กันที่แถบตรอกวิสูตรและภายหลังมีลูกมือหรือลูกจ้างชาวอีสานมาทำงาน จึงเริ่มเรียนรู้ เริ่มศึกษาอย่างจริงจังด้วยความชำนาญ จนสามารถเปิดหน้าร้านรับทำทองและเงินรูปพรรณต่างๆ
ต่างคนต่างมีหน้าร้าน มีช่างที่เป็นแรงงานเอามาจากคนบ้านเดียวกัน แล้วมาสอนกัน สามารถสร้างฐานะจากเสื่อผืนหมอนใบมาเช่าอยู่ กลายมาเป็นเถ้าแก่ซื้อตึก ซื้อที่อยู่อาศัยทางฝั่งธนฯ โดยรับรายการมาจากร้านใหญ่ที่มาสั่งทำ ส่วนลูกจ้างหรือช่างจะนำญาติๆ วัยรุ่นมาฝึกฝน มาเรียนรู้ ห้องแถวที่ใช้ทำทองเหล่านี้จะไม่ใช้พักอาศัย แต่จะออกไปพักที่อื่น
มีทั้งที่ทำรูปพรรณพวกกำไล สร้อย แหวน ทำจากทองและเงิน ขายทั้งชิ้นปลีกและขายส่งจำนวนมาก ส่ง ร้านเพชร ราคาไม่สูงมากนัก และขึ้นอยู่กับราคามทองคำที่ขึ้นลง ถ้าทองราคาแพงก็จะไม่มีคนสั่งทำมากนัก แต่ถ้าราคาถูกลงจะมีคนมาสั่งทำจำนวนมาก และหากราคาทองขึ้นก็จะเลี่ยงไปทำเครื่องประดับเงินแล้วประดับพลอยก็แล้วแต่ชิ้นงาน ค่าเพชรเท่าไร ค่าตัวเรือนหนักเท่าไร ส่วนการทำเครื่องเงิน ต้องนำเนื้อเงินต้องไปเข้าโรงหล่อแถวท่าพระ โดยการนำแม่พิมพ์ไปจากร้านแล้วไปจ้างหล่อ สามารถทำได้ตั้งแต่ชิ้นหรือสองชิ้นไปจนถึงทำเป็นกิ่งราว ๑๐ ชิ้น ในราคา ๖๐๐-๘๐๐ บาท
เมื่องานเสร็จแล้วเราถึงมาตีราคาอีกครั้งหนึ่ง โดยคิดราคาตามราคาทองที่ขึ้นลงในแต่ละช่วงวันและค่าแรง ถ้าสั่งจะได้ราคาถูกกว่าหน้าร้าน ทำเสร็จจึงตีราคา ให้งบมาแค่หมื่นก็ทำได้ เช่น ทำแหวนเงินค่าแรงเฉลี่ยอยู่ประมาณ ๗๐๐ บาท ถ้าเป็นทองราคาค่าแรงเฉลี่ยหลักพัน แต่การทำงานที่ใช้สายตามาก เมื่อเริ่มอายุราว ๕๐ ปี ก็อาจจะต้องเลิกทำเพราะใช้สายตาไม่ได้ดีเท่าเดิม
การมาทำทองที่ย่านตรอกเฟื่องทองและตรอกวิสูตรถือว่าอยู่ในแหล่งผลิตที่ผู้คนรู้จักกันดี กรณี “ร้านประยูร” ที่เจ้าของเป็นชาวศรีษะเกษเกิดจากคนงานร้านทองมาเปิดร้านด้วยตนเอง โดยทดลองทำมาราว ๖ ปี และสามารถทำได้ดีขึ้นเรื่อยๆ ลูกค้าส่วนมากรายย่อย หรือางรายขายอยู่ในห้าง หรือลูกค้าสั่งก็มาสั่งต่อหรือมาจากจังหวัดไกลๆ เพื่อมาสั่งไปขาย
ดังนั้นจึงกล่าวได้ว่าราวๆ ๒๐-๓๐ ปีที่ผ่านมา คนจีนจากที่เคยเป็นช่างทำทองรูปพรรณก็กลายมาเป็นคนขายเครื่องประดับซึ่งมีหน้าร้านและฐานะค่อนข้างดี ขยับขยายออกจากพื้นที่ย่านทำทองที่ทำมาตั้งแต่ครั้งหลังสงครามโลกครั้งที่ ๒ ไปทำธุรกิจอื่นๆ บ้างหรือไปอยู่ตามแหล่งอื่นๆ บ้าง
และงานช่างทองรูปพรรณที่ตรอกเฟื่องทอง-ตรอกวิสูตรทุกวันนี้ จึงกลายเป็นงานของช่างทองจากอีสานเป็นส่วนใหญ่
สัมภาษณ์
จันทนีย์ จันแสง. ชุมชนบ้านตึกดิน, ถนนตะนาว / ตุลาคม ๒๕๕๘
อภาพร โบราณบุญ. ร้านประยูร ซอยต้นทอง ชุมชนตรอกเฟื่องทอง-ตรอกวิสูตร / กุมภาพันธ์ ๒๕๕๙
ยุทธศักดิ์ น้อยพยัคฆ์. ประธานชุมชนตรอกเฟื่องทอง-ตรอกวิสูตร /กุมภาพันธ์ ๒๕๕๙
เจษฎา รักสัตย์. อดีตอาจารย์เกษียณ หลานตาพระยาโหราธิบดี ตรอกวิสูตร ถนนเจริญกรุง /กุมภาพันธ์ ๒๕๕๙
บรรณานุกรม
สารบาญชีส่วนที่ ๒ คือราษฎรในจังหวัด ถนน แล ตรอก จ.ศ.๑๒๔๕ เล่มที่ ๒. สำนัก พิมพ์ต้นฉบับ, ๒๕๔๑
ปราณี กล่ำส้ม. จากพาหุรัดถึงตลาดมิ่งเมือง วารสารเมืองโบราณ ปีที่ ๓๑ ฉบับที่ ๒ (เมษายน-มิถุนายน ๒๕๔๘).
เล่าขานตำนานทอง. ทองคำเปลว หัตถศิลป์ที่ยังมีชีวิต วารสารทองคำ ฉบับที่ ๒๕ เดือนพฤษภาคม-มิถุนายน ๒๕๕๓. https://issuu.com/goldtraders/docs/gold25/5 /(๔/๐๓/๒๕๕๙)
รัชกาลที่ ๗ กับกำเนิดศาลาเฉลิมกรุง. http://www.crownpropertyfoundation.org/article-detail.php?id=8 (๔/๐๓/๒๕๕๙)